เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-16
การลงทุนบางประเภทเปรียบเสมือนแม่น้ำที่สงบนิ่งและคาดเดาได้ แต่บางประเภทกลับเหมือนท้องทะเลกว้าง เต็มไปด้วยคลื่น กระแส และแรงน้ำที่ไม่อาจคาดเดาได้ ซึ่งแฝงทั้งความเสี่ยงและโอกาสไว้พร้อมกัน กองทุน Invesco QQQ ETF จัดอยู่ในประเภทหลัง มันคือกระแสน้ำแห่งการลงทุนยุคใหม่ที่ขับเคลื่อนด้วยพลังของเทคโนโลยี นวัตกรรม และแรงผลักดันของมนุษย์
ในปี 2025 นักลงทุนต่างตั้งคำถามเดิมอีกครั้งว่า“ตอนนี้กองทุน QQQ ยังน่าลงทุนอยู่ไหม?” คำตอบไม่ได้อยู่แค่ในผลการดำเนินงานที่ผ่านมา แต่ขึ้นอยู่กับวิธีที่คุณตีความพลังที่กำลังหล่อหลอมอนาคต จากปัญญาประดิษฐ์ไปจนถึงอัตราดอกเบี้ย ทุกคลื่นในเศรษฐกิจโลกต่างส่งแรงสะเทือนถึงกองทุนนี้ การเข้าใจ QQQ ก็คือการเข้าใจจังหวะการเต้นของตลาดยุคใหม่
กองทุน Invesco QQQ ETF เป็นกองทุนที่ติดตามดัชนี Nasdaq-100 Index ซึ่งประกอบด้วย 100 บริษัทที่ไม่ใช่ภาคการเงินขนาดใหญ่ที่สุดในตลาด Nasdaq นั่นหมายความว่า โครงสร้างหลักของกองทุนนี้ถูกครอบงำโดยบริษัทเทคโนโลยียักษ์ใหญ่อย่าง Apple, Microsoft, Nvidia, Amazon และ Alphabet ซึ่งรวมกันมีสัดส่วนมากถึงราว 42% ของน้ำหนักทั้งหมด ณ เดือนตุลาคม ปี 2025 กองทุนนี้มีมูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหารประมาณ 285 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ ทำให้มันเป็นหนึ่งในกองทุน ETF ที่มีขนาดใหญ่และมีการซื้อขายมากที่สุดในโลก
เมื่อใครถามว่า “กองทุน QQQ ยังน่าลงทุนอยู่ไหมในตอนนี้?” คำถามแท้จริงก็คือ บริษัทยักษ์ใหญ่เหล่านี้จะยังคงขับเคลื่อนการเติบโตของเศรษฐกิจโลกต่อไปได้หรือไม่ ต่างหาก กองทุน QQQ ไม่ได้กระจายลงทุนไปทุกอุตสาหกรรมเหมือนกองทุนตลาดกว้างทั่วไป แต่มุ่งเน้นหนักในกลุ่มเทคโนโลยี การสื่อสาร และสินค้าอุปโภคบริโภค ความเข้มข้นนี้จึงเป็นทั้ง “พลัง” และ “ความเสี่ยง” ไปพร้อมกัน
กองทุนการเงินระหว่างประเทศ (IMF) คาดว่า การเติบโตทางเศรษฐกิจโลกในปี 2025 จะอยู่ราว 3.3% ขณะที่อัตราเงินเฟ้อในเศรษฐกิจหลักอย่างสหรัฐฯ และยูโรโซนปรับลดลงมาอยู่แถว 2.7% ธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) คงอัตราดอกเบี้ยนโยบายไว้ใกล้ 4.75% ซึ่งถือว่าสูงกว่ายุคเงินถูกในช่วงปี 2010s แต่ก็ไม่รุนแรงเท่าช่วงเงินเฟ้อพุ่งในปี 2022
มูลค่าหุ้นสะท้อนสภาวะ “กึ่งกลาง” นี้ได้ชัดเจน ดัชนี Nasdaq-100 ซื้อขายที่อัตราส่วนราคาต่อกำไร (P/E) ล่วงหน้าราว 27 เท่า ในขณะที่ S&P 500 อยู่ใกล้ 19 เท่า ส่วนต่างนี้แสดงว่านักลงทุนยังยอมจ่ายแพงขึ้นเพื่อโอกาสการเติบโต แต่ความคาดหวังก็ไม่ฟุ้งเกินจริงเหมือนก่อน ดังนั้นคำถาม “กองทุน QQQ ยังน่าลงทุนอยู่ไหม” จึงกลายเป็นการชั่งน้ำหนักว่า มูลค่าที่สูงนี้ยังสอดคล้องกับศักยภาพกำไรในอนาคตหรือไม่
รายได้ของบริษัทใน Nasdaq คาดว่าจะเติบโต 8–9% ในปี 2026 ได้แรงหนุนจากความต้องการคลาวด์คอมพิวติ้ง ชิปเซมิคอนดักเตอร์ และเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI) ที่ยังคงเพิ่มขึ้น แม้จะชะลอกว่าการฟื้นตัวแรงในปี 2023 แต่ก็ยังเพียงพอที่จะรักษาผลตอบแทนได้ต่อเนื่อง
คำตอบของคำถาม “กองทุน QQQ ยังน่าลงทุนอยู่ไหม” บางส่วนซ่อนอยู่ในประวัติการฝ่าฟันวิกฤตที่ผ่านมา
1999–2002: QQQ ร่วงเกือบ 80% ในช่วงฟองสบู่ดอทคอมแตก แต่กองทุนก็อยู่รอด และกลับมาเติบโตอีกครั้งเมื่อบริษัทที่เหลือเริ่มมีกำไรจริง
2009–2019: พุ่งขึ้นกว่า 400% ในยุคบูมของสมาร์ตโฟนและคลาวด์คอมพิวติ้ง
2020–2022: การระบาดของโควิด-19 และเงินเฟ้อที่ตามมาทำให้ราคาพุ่งแรงแล้วร่วงเร็ว ทดสอบความอดทนของนักลงทุน
2023–2025: กระแส AI จุดกระแสการเติบโตรอบใหม่ โดยมี Nvidia และ Microsoft เป็นผู้นำ ฟื้นความเชื่อมั่นในแนวโน้มระยะยาว
ตลอดทุกวัฏจักร QQQ แสดงให้เห็นรูปแบบเดิมซ้ำๆ นั่นคือ ผันผวนหนักในระยะสั้น แต่เติบโตมั่นคงในระยะยาว มันมอบรางวัลให้กับผู้ที่ถือครองต่อเนื่องและเข้าใจจังหวะของตลาดอย่างแท้จริง.
กองทุน SPY ซึ่งติดตามดัชนี S&P 500 มีการกระจายการลงทุนกว้างกว่า ครอบคลุมทั้งหมด 11 กลุ่มอุตสาหกรรม รวมถึงภาคการเงิน พลังงาน และสาธารณสุข ในปี 2025 ผลตอบแทนรวมของ SPY อยู่ที่ประมาณ 9% ตั้งแต่ต้นปี ในขณะที่ QQQ ให้ผลตอบแทนราว 12% SPY ยังมีอัตราเงินปันผลสูงกว่าที่ 1.5% เมื่อเทียบกับ QQQ ที่อยู่ราว 0.6% นักลงทุนที่มองหาผลตอบแทนที่ “มั่นคง” มักเลือก SPY แต่ผู้ที่ต้องการลงทุนใน “นวัตกรรม” และการเติบโตระยะยาว มักเอนเอียงไปทาง QQQ
ทั้งสองกองทุนติดตามดัชนีเดียวกัน คือ Nasdaq-100 Index ความแตกต่างหลักอยู่ที่ “ค่าธรรมเนียม” และ “สภาพคล่อง” ค่าธรรมเนียมของ QQQM อยู่ที่ 0.15% เทียบกับ 0.20% ของ QQQ ขณะที่ QQQ มีปริมาณการซื้อขายมากกว่า 1 หมื่นล้านดอลลาร์ต่อวัน ดังนั้น นักลงทุนที่เน้นเทรดบ่อยหรือระยะสั้น มักเลือก QQQ เพราะสภาพคล่องสูงกว่า
กองทุน XLK ลงทุนเฉพาะในหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีเท่านั้น ขณะที่ QQQ ยังรวมบริษัทในกลุ่ม สินค้าอุปโภคบริโภคและการสื่อสาร ที่ดำเนินธุรกิจคล้ายแพลตฟอร์มเทคโนโลยี ในปี 2025 XLK ทำผลตอบแทนได้ 14% ขณะที่ QQQ อยู่ที่ 12% สิ่งนี้สะท้อนให้เห็นว่า QQQ มีความหลากหลายมากกว่า ซึ่งช่วย “ลดความผันผวน” ของผลตอบแทนเมื่อบางกลุ่ม เช่น ซอฟต์แวร์หรือเซมิคอนดักเตอร์ ชะลอตัวลง
สิบบริษัทหลักของ QQQ สร้างรายได้รวมกว่า 2.8 ล้านล้านดอลลาร์ และมีกำไรรวมราว 520 พันล้านดอลลาร์ต่อปี Microsoft และ Nvidia ครองตลาดด้วยบริการ AI และการขยายศูนย์ข้อมูล Amazon (AWS) และ Alphabet (Google Ads) ยังคงเติบโตอย่างมั่นคง
Apple ซึ่งเคยถูกมองว่าอิ่มตัว ตอนนี้สร้างรายได้กว่า 90 พันล้านดอลลาร์ต่อไตรมาส โดยกลุ่ม อุปกรณ์สวมใส่และบริการ เติบโตเร็วก่ายอดขาย iPhone แนวโน้มเหล่านี้ทำให้นักลงทุนยังคงตั้งคำถามซ้ำ ๆ ว่า “ตอนนี้ QQQ ยังคงน่าลงทุนอยู่ไหม?”
งบ R&D รวมของบริษัทใน QQQ ชั้นนำเกินกว่า 300 พันล้านดอลลาร์ต่อปี มากกว่าผลิตภัณฑ์มวลรวมภายในประเทศ (GDP) ของบางประเทศพัฒนาแล้วด้วยซ้ำ การลงทุนอย่างต่อเนื่องในนวัตกรรมนี้เป็นทั้ง “เกราะป้องกัน (moat)” และ “เครื่องยนต์ขับเคลื่อนการเติบโต (growth engine)”มันทำให้บริษัทใน QQQ ไม่ได้แค่ “ตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลง” แต่เป็นผู้ “สร้างการเปลี่ยนแปลง” เอง
อัตราส่วน ราคาต่อมูลค่าทางบัญชี (P/B) ของ QQQ อยู่ที่ประมาณ 8.7 เท่า ซึ่งสูงกว่าค่าเฉลี่ยในอดีต แต่ได้รับแรงหนุนจากมูลค่าของ ซอฟต์แวร์ สิทธิบัตร และตราสินค้า (brand equity) อัตราเงินปันผลอยู่ที่เพียง 0.63% สะท้อนว่าบริษัทต่าง ๆ เลือกนำกำไรกลับมาลงทุนต่อ มากกว่าจ่ายออกไป นี่คือปรัชญาการเติบโตที่เน้น “ลงทุนเพื่ออนาคต” มากกว่า “เก็บเกี่ยวผลกำไรในปัจจุบัน”
แม้ว่าคำตอบของคำถาม “ตอนนี้กองทุน QQQ ยังน่าลงทุนอยู่ไหม” จะมีแนวโน้มเชิงบวก แต่ก็ไม่อาจมองข้ามความเสี่ยงที่มาพร้อมกันได้
ความเสี่ยงจากมูลค่าหุ้นหดตัว: หากเงินเฟ้อกลับมาพุ่งอีกครั้ง ผลตอบแทนพันธบัตรที่สูงขึ้นอาจทำให้มูลค่าหุ้นเทคโนโลยีลดลง
ความเสี่ยงจากการกระจุกตัว: เกือบครึ่งหนึ่งของกองทุนอยู่ในหุ้นเพียง 5 ตัวหลัก หากบริษัทใดบริษัทหนึ่งรายงานผลประกอบการต่ำกว่าคาด ก็อาจฉุดทั้งดัชนีลงได้
ความเสี่ยงจากการประเมินมูลค่า AI เกินจริง: ตลาดอาจประเมินกำไรระยะสั้นจากเทคโนโลยี AI สูงเกินจริง ซึ่งอาจสร้างความผิดหวังในภายหลัง
ความเสี่ยงทางภูมิรัฐศาสตร์: กองทุน QQQ อ่อนไหวต่อห่วงโซ่อุปทานชิปเซมิคอนดักเตอร์ที่เชื่อมโยงกับไต้หวันและจีน
ความอ่อนไหวต่ออัตราดอกเบี้ย: ทุกการเปลี่ยนแปลงของอัตราผลตอบแทนพันธบัตร 0.5% (50 basis points) เคยทำให้ราคาของ QQQ เคลื่อนไหวระหว่าง 3% ถึง 5%
โดยธรรมชาติของ QQQ เองนั้นมีความผันผวนสูง (Volatility) โดยค่าบีต้า 1 ปีอยู่ที่ 1.2 หมายความว่า QQQ เคลื่อนไหวมากกว่าตลาดรวมประมาณ 20% สำหรับนักเทรด ความผันผวนเช่นนี้คือ “โอกาส” แต่สำหรับนักลงทุนสายระมัดระวัง มันอาจหมายถึง “ความกังวล”
ระหว่างปี 2023 ถึง 2025 ราคาหุ้น Nvidia พุ่งขึ้นมากกว่า 230% จากความต้องการชิปกราฟิกที่พุ่งสูง ผลการเติบโตของหุ้นตัวนี้เพียงตัวเดียว เพิ่มผลตอบแทนรวมของ QQQ ได้เกือบ 9% แต่ในทางกลับกัน การพึ่งพา Nvidia มากเกินไปก็หมายความว่า หากรายได้ของบริษัทเริ่มชะลอตัว กองทุนทั้งกองก็อาจได้รับผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญ
ในปี 2024 ธุรกิจค้าปลีกของ Amazon เผชิญกับอัตรากำไรที่ลดลง แต่รายได้ของ AWS (Amazon Web Services) ซึ่งสูงถึง 92 พันล้านดอลลาร์ต่อไตรมาส ได้ช่วยชดเชยความอ่อนแอนั้น กรณีนี้สะท้อนให้เห็นถึงความยืดหยุ่นภายในของ QQQ ซึ่งเกิดจากการกระจายความเสี่ยงภายในบริษัทเอง
ในปี 2018 เมื่อธนาคารกลางสหรัฐฯ (Fed) หยุดการปรับขึ้นดอกเบี้ย QQQ พุ่งขึ้น 39% ในปีถัดมา ณ ช่วงปลายปี 2025 Fed อยู่ในภาวะ “พักการขึ้นดอกเบี้ย” อีกครั้ง หากเงินเฟ้อยังคงทรงตัว เป็นไปได้ว่า QQQ อาจเห็นรูปแบบการฟื้นตัวที่คล้ายกัน
การขยายตัวของเทคโนโลยี AI: คาดว่าการใช้จ่ายด้าน AI ทั่วโลกจะเกิน 420 พันล้านดอลลาร์ภายในปี 2026 ซึ่งจะส่งผลโดยตรงต่อบริษัทอย่าง Microsoft, Nvidia และ Alphabet
คลาวด์คอมพิวติ้ง (Cloud Computing): รายได้จากบริการคลาวด์ทั่วโลกคาดว่าจะทะลุ 1 ล้านล้านดอลลาร์ภายในปี 2030 โดยบริษัทในกองทุน QQQ ครองส่วนแบ่งตลาดกว่า 60%
การฟื้นตัวของโฆษณาดิจิทัล: การใช้จ่ายโฆษณาออนไลน์เพิ่มขึ้น 9% ในปี 2025 หลังจากภาวะชะลอตัวในปี 2022 ส่งผลบวกต่อ Meta และ Alphabet
การย้ายฐานการผลิตชิปกลับประเทศ: แนวโน้มการสร้างโรงงานผลิตชิปภายในสหรัฐฯ และยุโรป สนับสนุนการเติบโตระยะยาวของบริษัทออกแบบและผลิตอุปกรณ์ที่อยู่ใน QQQ
แรงขับเคลื่อนเหล่านี้แสดงให้เห็นว่า QQQ ยังคงอยู่ใจกลางวงจรนวัตกรรมระดับโลก และยังคงรักษาสถานะของมันในฐานะ กองทุนที่สะท้อนการเติบโตเชิงโครงสร้างของเศรษฐกิจยุคดิจิทัล
นักลงทุนรายย่อยส่วนใหญ่มักใช้ QQQ เป็นส่วนจัดสรรเพื่อการเติบโต (Growth Allocation) ภายในพอร์ตที่สมดุล ตัวอย่างเช่น 20% ลงทุนใน QQQ 60% ในหุ้นทั่วโลก และอีก 20% ในพันธบัตรหรือสินทรัพย์ป้องกันความเสี่ยง โครงสร้างนี้ช่วยให้นักลงทุนได้สัมผัสการเติบโตจากนวัตกรรม พร้อมกับลดความผันผวนโดยรวมของพอร์ต
นักลงทุนสถาบันมักใช้ QQQ แบบเชิงกลยุทธ์ (Tactical Use) กองทุนบำเหน็จบำนาญ (Pension Funds) ใช้ฟิวเจอร์สของ QQQ เพื่อป้องกันความเสี่ยงในกลุ่มเทคโนโลยี ขณะที่กองทุนป้องกันความเสี่ยง (Hedge Funds) ใช้ออปชันเพื่อเก็งกำไรจากความผันผวนระยะสั้น กลยุทธ์ Dollar-Cost Averaging (DCA) ยังคงเป็นหนึ่งในวิธีที่มีประสิทธิภาพสูงสุดสำหรับนักลงทุนทั่วไป หากนักลงทุนลงทุนเดือนละ 500 ดอลลาร์ ตั้งแต่ปี 2015 จนถึง 2025 จะลงทุนรวม 66,000 ดอลลาร์ และพอร์ตจะเติบโตเป็นราว 142,000 ดอลลาร์ หรือให้ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีประมาณ 11.4% แม้จะผ่านการปรับฐานของตลาดมาแล้วถึงสองครั้ง
Morningstar: ให้เรตติ้งระดับ “Gold” สำหรับ QQQ ในฐานะกองทุนที่โดดเด่นด้านการเติบโตระยะยาว
Bloomberg Intelligence: คาดผลตอบแทนรวม 14–16% ในช่วง 12 เดือนข้างหน้า หากอัตราดอกเบี้ยทรงตัว
Goldman Sachs: คาดการณ์การเติบโตของกำไรกลุ่มเทคโนโลยี 9% ในปี 2026 สนับสนุนมูลค่าพรีเมียมในปัจจุบัน
UBS Wealth Management: เรียก QQQ ว่า “กองทุนหลักแห่งนวัตกรรม (Core Innovation Holding)” แต่เตือนถึงความเสี่ยงจากการกระจุกตัว
โดยรวมแล้ว สถาบันการเงินส่วนใหญ่มีมุมมอง เชิงบวกอย่างระมัดระวัง (Mildly Bullish) สรุปได้ว่า หากนักลงทุนสามารถรับมือกับความผันผวนได้ คำตอบของคำถาม “QQQ ยังน่าลงทุนอยู่ไหม?” คือ ใช่
กรณีฐาน (Base Case – 60%): อัตราเงินเฟ้อทรงตัว มีการลดดอกเบี้ย 1 ครั้งกลางปี กำไรเพิ่มขึ้น 8% ผลตอบแทนรวม 12–15%
กรณีบวก (Bull Case – 25%): การผ่อนคลายนโยบายการเงินเร็วขึ้น รายได้จาก AI สูงกว่าคาด มูลค่าขยายเป็น 30 เท่า ผลตอบแทนสูงสุด 25%
กรณีลบ (Bear Case – 15%): อัตราเงินเฟ้อกลับมาสูงกว่า 3.5% มูลค่าลดลงเหลือ 22 เท่า ผลตอบแทนติดลบ 15%
ผลลัพธ์เหล่านี้ชี้ให้เห็นว่า แม้ในสถานการณ์ระมัดระวัง QQQ ก็ยังมีความเสี่ยงขาลงที่อยู่ในระดับจัดการได้ เมื่อเทียบกับประวัติความผันผวนของมันเอง
ตัวอย่างที่ 1: นักลงทุนจากสหราชอาณาจักรที่เริ่มลงทุนใน QQQ แบบรายเดือนตั้งแต่ปี 2020 ทำผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีได้ประมาณ 16%
ตัวอย่างที่ 2: กองทุนความมั่งคั่งแห่งชาติสิงคโปร์ ใช้ฟิวเจอร์สของ QQQ เป็นเครื่องมือเสริมเชิงกลยุทธ์ ทำให้ประสิทธิภาพพอร์ต (Sharpe Ratio) เพิ่มขึ้น 0.18 จุด
ตัวอย่างที่ 3: มูลนิธิและกองทุนการศึกษาในสหรัฐฯ ยังคงถือ QQQ ราว 5–10% ของสินทรัพย์ทั้งหมด โดยให้เหตุผลว่ามันคือ “การเข้าถึงนวัตกรรมที่ไม่อาจทดแทนได้”
กรณีเหล่านี้สะท้อนให้เห็นว่า QQQ ไม่ได้เป็นเพียง ETF ทั่วไป แต่เป็น “เครื่องมือเชิงกลยุทธ์” ที่นักลงทุนทั่วโลกใช้ในการเข้าถึงการเติบโตของเทคโนโลยีและนวัตกรรมในเศรษฐกิจยุคใหม่
สำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการเก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของดัชนี Nasdaq-100 โดยไม่ต้องซื้อกองทุน ETF โดยตรง EBC Financial Group เปิดโอกาสให้เข้าถึงตลาดผ่าน Contracts for Difference (CFD) ซึ่งช่วยให้นักลงทุนสามารถเก็งทิศทางราคาของ QQQ ได้โดยใช้ เลเวอเรจ (Leverage) เพื่อขยายโอกาสทำกำไร พร้อมควบคุมขนาดสถานะและความเสี่ยงได้อย่างยืดหยุ่น
ข้อเสนอ CFD ของ EBC ผสานเทคโนโลยีการส่งคำสั่งขั้นสูงกับสภาพคล่องระดับสถาบัน ซึ่งมาจากผู้ให้บริการทั่วโลกมากกว่า 25 ราย ทำให้คำสั่งซื้อขายถูกดำเนินการเฉลี่ยภายในเพียง 20 มิลลิวินาที แม้ในช่วงตลาดผันผวนก็ตาม เทรดเดอร์สามารถเปิดสถานะ Long (ซื้อ) หรือ Short (ขาย) ตั้งระดับ Stop-Loss และ Take-Profit รวมถึงบริหารพอร์ตผ่านแพลตฟอร์มยอดนิยม MetaTrader 4 (MT4) และ MetaTrader 5 (MT5) ได้อย่างสะดวก
การเทรด QQQ ETF CFD กับ EBC ช่วยให้นักลงทุนตอบสนองต่อช่วงฤดูกาลประกาศผลประกอบการ การตัดสินใจอัตราดอกเบี้ยของธนาคารกลาง หรือแรงซื้อขายจากกระแส AI Rally ได้แบบเรียลไทม์ (Real-Time) โดยไม่จำเป็นต้องถือครองสินทรัพย์จริง ธุรกรรมทั้งหมดถูกชำระเป็นสกุลเงินปกติ (Fiat) ลดความซับซ้อนเรื่องการดูแลสินทรัพย์ (Custody) หรือการแปลงสกุลเงินต่างประเทศ
ไม่ว่าคุณจะเป็นเทรดเดอร์มืออาชีพหรือรายย่อย แนวทางนี้ผสมผสาน “ความลึกของตลาดหุ้นสหรัฐฯ” เข้ากับ “ความยืดหยุ่นของตราสารอนุพันธ์” ช่วยให้นักลงทุนสามารถเข้าร่วมในศักยภาพการเติบโตของกองทุน QQQ พร้อมบริหารเงินทุนได้อย่างมีประสิทธิภาพ ภายใต้สภาพแวดล้อมการเทรดที่ได้รับการกำกับดูแลระดับโลกจาก EBC Financial Group
QQQ ติดตามดัชนี Nasdaq-100 Index ซึ่งประกอบด้วย 100 บริษัทขนาดใหญ่ที่ไม่ใช่ภาคการเงินซึ่งจดทะเบียนในตลาด Nasdaq
ณ เดือนตุลาคม ปี 2025 QQQ ให้ผลตอบแทนเพิ่มขึ้นประมาณ 12% นับตั้งแต่ต้นปี
เหมาะสม หากมองว่าเป็น การลงทุนเพื่อการเติบโตระยะยาว มากกว่าการเก็งกำไรระยะสั้น
ดังนั้น คำถามที่ว่า “ตอนนี้ QQQ ยังน่าลงทุนอยู่ไหม?” สำหรับนักลงทุนระยะยาวที่เชื่อว่า “นวัตกรรมจะยังเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของเศรษฐกิจโลก” คำตอบคือ ใช่ QQQ มอบโอกาสเข้าถึงบริษัทชั้นนำระดับโลกที่มีศักยภาพสูง มีสภาพคล่องยอดเยี่ยม และมีประวัติผลการดำเนินงานที่พิสูจน์แล้วตลอดหลายทศวรรษ
อย่างไรก็ตาม จังหวะเวลา ก็ยังสำคัญ มูลค่าหุ้นในปัจจุบันไม่ถูก และย่อมมีการปรับฐานระยะสั้นเกิดขึ้นเป็นระยะ สิ่งสำคัญคือ “มุมมองระยะยาว” เพราะในทุกช่วงเวลา 10 ปีนับตั้งแต่กองทุนเริ่มจัดตั้ง QQQ มีผลตอบแทนเฉลี่ยสูงกว่าตลาดโดยรวมเกือบทุกครั้ง นักลงทุนที่รักษาวินัยในการลงทุนและกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม มักได้รับผลตอบแทนตอบแทนที่คุ้มค่าในที่สุด
ท้ายที่สุดแล้ว กองทุนนี้ไม่ใช่แค่การรวมตัวของหุ้น แต่คือ “การเดิมพันในความก้าวหน้าของมนุษยชาติ” คือความเชื่อในพลังของเทคโนโลยี ความคิดสร้างสรรค์ และศักยภาพของมนุษย์ที่จะเปลี่ยนแปลงโลก สำหรับผู้ที่กล้าถือผ่านความผันผวน QQQ ยังคงเป็นหนึ่งในกองทุนที่ทรงพลังและน่าสนใจที่สุดของยุคสมัยใหม่
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ
