เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-16
16 ต.ค. 2025 - ราคาทองคำทะยานทำสถิติสูงสุดใหม่ทะลุ 4,200 ดอลลาร์ต่อออนซ์ในวันพุธ ขานรับกระแสคาดการณ์ว่าเฟดอาจปรับลดอัตราดอกเบี้ยเร็วกว่าคาด รวมถึงแรงซื้อสินทรัพย์ปลอดภัยท่ามกลางความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และสงครามการค้าระหว่างสหรัฐฯ กับจีนที่กลับมาร้อนแรงอีกครั้ง
ราคาทองคำสปอตขยับขึ้น 1.3% อยู่ที่ 4,195.35 ดอลลาร์ต่อออนซ์ ณ เวลา 13.57 น. ตามเวลานิวยอร์ก หลังจากแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 4,217.95 ดอลลาร์ ส่วนสัญญาทองคำล่วงหน้าสหรัฐฯ ส่งมอบเดือนธันวาคม ปิดบวก 0.9% ที่ 4,201.60 ดอลลาร์
ฟาวัด ราซัคซาดา นักวิเคราะห์ตลาดจาก City Index และ FOREX.com ระบุว่า “ราคาทองคำยังคงพุ่งแรงและไม่มีทีท่าว่าจะหยุด โดยเฉพาะหลังความตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ กับจีนปะทุขึ้นอีกครั้ง นักลงทุนจึงเร่งกระจายพอร์ตออกจากหุ้นไปสู่ทองคำ”
ทองคำปรับขึ้นแล้วกว่า 60% ตั้งแต่ต้นปี สะท้อนแรงหนุนจากหลายปัจจัย ทั้งความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ การคาดการณ์ลดดอกเบี้ย การเข้าซื้อทองของธนาคารกลางทั่วโลก กระแสดีดอลลาร์ไรเซชัน (de-dollarisation) และการไหลเข้าของกองทุน ETF
ขณะที่ดัชนีดอลลาร์ (DXY) อ่อนค่าลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่าสัปดาห์ หลังเจอโรม พาวเวลล์ ประธานเฟด ส่งสัญญาณเชิงผ่อนคลาย โดยระบุว่า ตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังอยู่ในภาวะ “ซบเซาทั้งการจ้างและเลิกจ้าง” ทำให้ตลาดเก็งว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ย 0.25% ในการประชุมเดือนตุลาคม (โอกาส 98%) และอีกครั้งในเดือนธันวาคม (โอกาส 100%)
นอกจากแรงหนุนจากดอกเบี้ยแล้ว ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ยังกล่าวว่าสหรัฐฯ อาจตัดสัมพันธ์ทางการค้าบางส่วนกับจีน หลังทั้งสองประเทศตอบโต้กันด้วยการเก็บค่าธรรมเนียมท่าเรือ ส่งผลให้นักลงทุนเร่งหาที่หลบภัยในทองคำมากขึ้น รวมถึงตลาดยังจับตาความเสี่ยงจากภาวะชัตดาวน์ของรัฐบาลสหรัฐฯ ที่ยืดเยื้อนานกว่าสามสัปดาห์ ทำให้ข้อมูลเศรษฐกิจหลายชุดถูกระงับ และอาจกระทบต่อการประเมินนโยบายของเฟดในอนาคต
ด้านโลหะมีค่าอื่น ๆ เงิน (Silver) เพิ่มขึ้น 2.3% มาที่ 52.64 ดอลลาร์ หลังแตะจุดสูงสุดที่ 53.60 ดอลลาร์เมื่อวันอังคาร โดยได้รับแรงหนุนจากอุปทานในลอนดอนที่ตึงตัว ส่วนแพลตินัมขยับขึ้น 0.6% สู่ระดับ 1,647.55 ดอลลาร์ ขณะที่พัลลาเดียมปรับลงเล็กน้อย 0.2% อยู่ที่ 1,523.66 ดอลลาร์
ดัชนีดอลลาร์ (DXY) ปรับลดต่อเนื่องเป็นวันที่สาม ลงแตะระดับต่ำสุดในรอบกว่าสัปดาห์ในช่วงเช้าวันพฤหัสบดี โดยอยู่ต่ำกว่าช่วงกลางระดับ 98 จุด สะท้อนแรงขายต่อเนื่องจากคาดการณ์เฟดจะลดดอกเบี้ยในเดือนตุลาคมและธันวาคม โดยแรงกดดันเพิ่มเติมมาจากความกังวลว่า การปิดหน่วยงานรัฐบาลสหรัฐฯ ซึ่งยืดเยื้อเข้าสู่สัปดาห์ที่สาม จะกระทบเศรษฐกิจในวงกว้าง หลังวุฒิสภาล้มเหลวในการผลักดันร่างงบประมาณจากสภาผู้แทนฯ ถึง 9 ครั้ง ขณะที่ศาลกลางสหรัฐฯ สั่งระงับคำสั่งเลิกจ้างข้าราชการของรัฐบาลชั่วคราว
นอกจากนี้ สถานการณ์ตึงเครียดระหว่างสหรัฐฯ และจีนยังทวีความรุนแรง หลังสหรัฐฯ ขยายข้อจำกัดด้านเทคโนโลยี และจีนออกมาตรการควบคุมการส่งออกแร่หายากเพิ่ม ทั้งสองฝ่ายต่างเรียกเก็บค่าธรรมเนียมท่าเรือตอบโต้กัน ซึ่งทรัมป์ระบุว่านี่คือ “สงครามการค้าจริง ๆ”
อย่างไรก็ตาม รัฐมนตรีคลังสหรัฐฯ สกอตต์ เบสเซนท์ เสนอแนวคิดระงับภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนชั่วคราว หากจีนยุติมาตรการควบคุมส่งออกแร่สำคัญ ซึ่งอาจช่วยบรรเทาความกดดันระยะสั้นต่อค่าเงินดอลลาร์ได้
ราคาน้ำมันดิบ WTI เคลื่อนไหวทรงตัวที่ราว 58.20 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในช่วงการซื้อขายเอเชียวันพฤหัสบดี หลังบวกเล็กน้อยในวันก่อนหน้า โดยได้รับแรงหนุนจากข่าวที่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ เปิดเผยว่า นายกรัฐมนตรีนเรนทรา โมดี ของอินเดียให้คำมั่นว่าจะยุติการซื้อน้ำมันจากรัสเซีย
ทรัมป์ระบุว่า เขาไม่พอใจที่อินเดียยังซื้อน้ำมันรัสเซีย และได้รับการยืนยันจากโมดีว่าจะหยุดการนำเข้า พร้อมกล่าวว่าขั้นต่อไป สหรัฐฯ จะกดดันจีนให้ลดการซื้อน้ำมันจากมอสโก เพื่อจำกัดรายได้ของรัสเซียและผลักดันให้เจรจาสันติภาพในยูเครน ขณะเดียวกัน สหรัฐฯ ยังคาดหวังให้ญี่ปุ่นยุตินำเข้าพลังงานจากรัสเซียด้วย โดยเบสเซนท์ได้หารือเรื่องนี้กับรัฐมนตรีคลังญี่ปุ่นระหว่างเยือนวอชิงตัน
สหราชอาณาจักรก็ออกมาตรการคว่ำบาตรใหม่ต่อบริษัทน้ำมันรายใหญ่ของรัสเซียอย่าง Lukoil และ Rosneft รวมถึงเรือบรรทุกน้ำมัน “shadow fleet” อีก 44 ลำ เพื่อจำกัดรายได้พลังงานของเครมลิน พร้อมห้ามใช้บริการทรัสต์ในอังกฤษและอายัดทรัพย์สินที่เกี่ยวข้อง ส่วนด้านรัฐมนตรีคลังอังกฤษ เรเชล รีฟส์ กล่าวว่า “เรากำลังเพิ่มแรงกดดันต่อบริษัทในประเทศที่สาม เช่น อินเดียและจีน ที่ยังคงช่วยให้รัสเซียขายน้ำมันในตลาดโลก”
ตลาดการเงินโลกกำลังสะท้อนแรงสั่นสะเทือนจากทั้งปัจจัยเศรษฐกิจและภูมิรัฐศาสตร์อย่างเข้มข้น การพุ่งขึ้นของราคาทองคำเหนือระดับ 4,200 ดอลลาร์เป็นสัญญาณชัดเจนว่าความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยกลับมาอีกครั้ง ขณะที่ดอลลาร์อ่อนค่าลงต่อเนื่องจากแรงเก็งว่าเฟดจะปรับลดดอกเบี้ยในช่วงปลายปี ความไม่แน่นอนทางการเมืองในสหรัฐฯ ทั้งภาวะชัตดาวน์และความตึงเครียดทางการค้ากับจีน ยิ่งตอกย้ำบรรยากาศระแวดระวังในตลาดทุนทั่วโลก
ในอีกด้าน ราคาน้ำมันแม้จะทรงตัวใกล้ระดับ 58 ดอลลาร์ต่อบาร์เรล แต่ก็ยังเป็นตัวแปรสำคัญในสมการเศรษฐกิจโลก โดยเฉพาะเมื่ออินเดียประกาศยุติการนำเข้าน้ำมันจากรัสเซีย ซึ่งอาจส่งผลต่อสมดุลอุปทานพลังงานระหว่างประเทศ ความเคลื่อนไหวของทองคำ ดอลลาร์ และน้ำมันในระยะนี้จึงเป็นเหมือน “เข็มทิศ” ชี้ทิศทางความเสี่ยงที่นักลงทุนทั่วโลกต้องจับตา เพราะแต่ละตลาดสะท้อนความไม่มั่นคงทางเศรษฐกิจและการเมืองที่ยังไม่คลี่คลาย
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ