เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-16
คำตอบอย่างตรงไปตรงมาคือ เป็นไปได้ แต่มีเงื่อนไขสำคัญที่ต้องพิจารณา ก่อนอื่น แบรนด์ระดับโลกของ บริษัท WeWork ยังมีภาพจำเชิงลบติดตัวจากเหตุการณ์ล่มสลายในช่วงปี 2019–2024 และการปรับโครงสร้างองค์กรครั้งใหญ่
อย่างไรก็ตาม การทำ IPO ของ WeWork India ที่ประสบความสำเร็จและได้รับการสนับสนุนจากสถาบันการเงิน (มูลค่าราว 338 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ 3,000 crore รูปี) แสดงให้เห็นว่าธุรกิจสาขาอินเดียมีความแข็งแกร่งกว่าบริษัทแม่ และอาจกลายเป็นกรณีศึกษาสำคัญของการที่ผู้ดำเนินการท้องถิ่นที่มีศักยภาพ (Embassy Group) สามารถเปลี่ยนมูลค่าแบรนด์ให้กลายเป็นธุรกิจที่ทำกำไรและขยายตัวได้จริง
อย่างไรก็ดี ความสงสัยของนักลงทุน ปัญหาธรรมาภิบาล มูลค่าหุ้นที่สูงเมื่อเทียบกับคู่แข่ง และอุปสรรคเชิงโครงสร้างในอุตสาหกรรมพื้นที่ทำงานแบบยืดหยุ่น ทำให้ IPO ของ WeWork ในอินเดีย ถือเป็น “ก้าวสำคัญ” แต่ยังไม่ใช่ “การฟื้นคืนชีพของแบรนด์ WeWork ทั่วโลก” อย่างแน่นอน
เรื่องราวการล่มสลายของ WeWork นั้นเป็นที่คุ้นเคยกันดี จากบริษัทที่เติบโตอย่างรวดเร็วสุดขีดในปี 2019 แต่การเสนอขายหุ้น IPO ครั้งแรกกลับล้มเหลว ภายใต้การบริหารของผู้ก่อตั้ง อดัม นอยมันน์ (Adam Neumann) ที่เต็มไปด้วยปัญหาธรรมาภิบาล ก่อนจะได้รับความช่วยเหลือจาก SoftBank และในที่สุดต้องเข้าสู่กระบวนการปรับโครงสร้างเกือบล้มละลายในช่วงปี 2023–2024 (ลดหนี้ ยกเลิกสัญญาเช่าหลายแห่ง)
ผลลัพธ์คือบริษัทที่มีขนาดเล็กลงอย่างมาก และพยายามอย่างหนักที่จะพิสูจน์ความสามารถในการทำกำไรต่อหน่วย (unit economics) และมาตรฐานธรรมาภิบาลต่อสาธารณชนในตลาดทุน
อย่างไรก็ตาม WeWork India กลับเดินเส้นทางที่แตกต่างออกไปโดยสิ้นเชิง ในปี 2024 บริษัทแม่ได้ถอนการถือหุ้นโดยตรงออกจากอินเดีย และสิทธิแฟรนไชส์ถูกโอนให้กับกลุ่มอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ของประเทศอย่าง Embassy Group (รวมถึงนักลงทุนรายอื่น ๆ) หลังจากได้ผู้ถือหุ้นท้องถิ่นเข้ามาบริหาร การดำเนินงานในอินเดียจึงมุ่งเน้นที่ “กำไรจริง” ควบคุมต้นทุนอย่างเข้มงวด และเลือกทำเลเมืองใหญ่ที่มีศักยภาพ แม้ต้องลงทุนสูงก็ตาม
การเปลี่ยนแปลงนี้ได้สร้างผลลัพธ์ทางการเงินที่โดดเด่น และปูทางสู่การเสนอขายหุ้น IPO ในเดือนตุลาคม 2025 โมเดลแฟรนไชส์ + ผู้ประกอบการท้องถิ่น + พลังของแบรนด์ระดับโลก คือปัจจัยสำคัญที่หนุนแนวคิดว่า “อินเดียอาจเป็นผู้ชุบชีวิต WeWork ได้อีกครั้ง”
ตัวชี้วัด | รายละเอียด |
---|---|
ขนาด IPO | ประมาณ 338 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ (₹3,000 crore) |
มูลค่ากิจการโดยนัย (Valuation) | ราว 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ |
วันที่จดทะเบียน | ต้นเดือนตุลาคม 2025 |
ตลาดหลักทรัพย์ | NSE และ BSE |
ประเภทเสนอขาย | ขายหุ้นทั้งหมด (Offer for Sale) ไม่มีหุ้นใหม่ |
ผู้นำเสนอหลัก | Embassy Group |
ปฏิกิริยาตลาดเบื้องต้น | ปฏิกิริยาตลาดเบื้องต้น |
บริษัทระดมทุนได้ราว 338 ล้านดอลลาร์สหรัฐฯ หรือประมาณ ₹3,000 crore โดยมีนักลงทุนสถาบันให้ความสนใจสูง ขณะที่นักลงทุนรายย่อยมีท่าทีระมัดระวังมากกว่า
หุ้นเริ่มซื้อขายในต้นเดือนตุลาคม 2025 โดยเปิดใกล้ราคาจองและเคลื่อนไหวในกรอบแคบช่วงเปิดตลาด สะท้อนความระมัดระวังของนักลงทุน แม้มีแรงซื้อจากสถาบันบ้าง ต่อมาหุ้นมีความผันผวนและมีแรงขายทำกำไรระยะสั้น
รายงานสาธารณะและสื่อท้องถิ่นระบุว่า WeWork India มีรายได้และอัตรากำไรที่เหนือกว่าคู่แข่งภายในประเทศในปีงบประมาณ FY25 แม้จะมีขนาดเครือข่ายเล็กกว่า แสดงให้เห็นว่าการบริหารอย่างมีวินัยและการวางตำแหน่งแบบพรีเมียมสามารถทำงานได้จริงในตลาดอินเดีย
ผลลัพธ์เหล่านี้สะท้อนความจริงสำคัญ แฟรนไชส์ WeWork ในอินเดียมีแรงขับเคลื่อนทางธุรกิจที่เป็นอิสระจากบริษัทแม่ แต่ตลาดทุนกำลังทดสอบอยู่ว่าแรงขับนี้เพียงพอจะรองรับมูลค่าประเมินและความคาดหวังการเติบโตในระยะยาวหรือไม่
แม้การตั้งราคาหุ้น IPO จะดูน่าดึงดูดสำหรับนักลงทุนในแฟรนไชส์ แต่ก็ทำให้เกิดคำถามว่าราคาดังกล่าวสะท้อนความเสี่ยงด้านลบอย่างครบถ้วนแล้วหรือยัง
การประเมินมูลค่าของ WeWork India ในการเสนอขาย IPO (รายงานก่อน IPO บางฉบับระบุว่าเป้าหมายอยู่ที่มูลค่ากิจการราว 1 พันล้านดอลลาร์สหรัฐฯ) สะท้อนถึงการคาดการณ์การเติบโตและตำแหน่งทางการตลาดระดับพรีเมียม
นักลงทุนสถาบันส่วนใหญ่ยอมรับการประเมินมูลค่านี้ได้ แต่ฝั่งนักลงทุนรายย่อยและที่ปรึกษาพันธมิตรบางรายกลับแสดงความกังวลเกี่ยวกับประเด็นด้านธรรมาภิบาล (governance) การจำนำหุ้นของผู้ถือหุ้นใหญ่ (promoter pledges) และการเปิดเผยข้อมูลทางกฎหมายที่อาจไม่เพียงพอ
การเปิดตัวหุ้นที่ “ทรงตัว” และการซื้อขายหลังเปิดตลาดในช่วงแรกที่ผันผวนเล็กน้อย บ่งชี้ว่าตลาดยังไม่เชื่อมั่นเต็มที่ในมุมมองเชิงบวกของ IPO นี้ หรืออาจกำลังรอหลักฐานชัดเจนเกี่ยวกับการเติบโตอย่างต่อเนื่องของตัวชี้วัดหลัก เช่น อัตราการเช่าพื้นที่ รายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้ และอัตราการต่อสัญญา
นักลงทุนยังนำ WeWork India ไปเปรียบเทียบกับคู่แข่งในประเทศ เช่น Smartworks, Awfis, และ Indiqube เพื่อประเมินว่าระดับราคาพรีเมียมของ WeWork สมเหตุสมผลหรือไม่
อัตราการเช่าใช้พื้นที่ (% Occupancy)
กำไรขั้นต้นต่อโต๊ะ (Gross Margin per Desk)
รายได้ประจำต่อปี (ARR)
อัตราการสูญเสียลูกค้า (Churn Rate)
ระยะเวลาสัญญาเช่าที่จะหมด (Lease Expiries)
กระแสเงินสดจากการดำเนินงานต่อสาขา (Operating Cash Flow per Location)
การที่ WeWork India ทำผลงาน “เหนือกว่า” คู่แข่งในตัวชี้วัดเหล่านี้จะเป็นเงื่อนไขสำคัญในการรักษาระดับราคาพรีเมียมในตลาดทุน
หาก WeWork India สามารถเพิ่มรายได้ต่อเนื่องพร้อมกับปรับปรุงประสิทธิภาพในการแปลงกำไรเป็นกระแสเงินสดอิสระ (FCF Conversion) ได้สำเร็จ มูลค่าหุ้นของบริษัทก็มีแนวโน้มจะได้รับประโยชน์ในระยะยาว
แรงขับเคลื่อนหลักมาจากแรงงานขนาดใหญ่และอายุน้อยของอินเดีย รวมถึงระบบนิเวศของสตาร์ทอัพและเทคโนโลยีที่ขยายตัวอย่างรวดเร็ว ซึ่งทั้งหมดนี้กระตุ้นความต้องการใช้พื้นที่สำนักงานแบบยืดหยุ่น
บริษัทยักษ์ใหญ่จำนวนมากเริ่มใช้โมเดล Co-working Space เพื่อบริหารสัญญาเช่าและลดต้นทุนคงที่ในระยะยาว ซึ่งเป็นปัจจัยบวกเชิงโครงสร้างสำหรับผู้ให้บริการพื้นที่ทำงานร่วมกันที่มีระบบจัดการดีอย่าง WeWork
ข้อมูลตลาดในปี 2025 แสดงให้เห็นว่าอัตราการเช่าใช้พื้นที่ (Occupancy Rate) เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องในทำเลพรีเมียม เช่น บังกาลอร์ มุมไบ และ NCR (นิวเดลี) ซึ่งเป็นพื้นที่หลักที่ WeWork India ให้ความสำคัญ
ด้วยการสนับสนุนจาก Embassy Group และนักลงทุนท้องถิ่นรายอื่น ๆ แฟรนไชส์ WeWork ในอินเดียสามารถบริหารสัญญาเช่า งบลงทุน (CapEx) และ ข้อตกลงกับซัพพลายเออร์ ได้ยืดหยุ่นและมีประสิทธิภาพมากกว่าบริษัทแม่ในช่วงขยายตัวอย่างรวดเร็วก่อนหน้านี้
เจ้าของพื้นที่และพันธมิตรในท้องถิ่นมักมีระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้แตกต่างกัน และมีความเข้าใจตลาดลึกกว่า ซึ่งช่วยเพิ่มอัตรากำไร (Margin) และกระแสเงินสด (Cash Flow) ได้อย่างมีนัยสำคัญ
โมเดลแฟรนไชส์ยังเปิดโอกาสให้ผู้ดำเนินการท้องถิ่นเก็บเกี่ยวผลตอบแทนจากมูลค่าแบรนด์ระดับโลก โดยไม่ต้องรับภาระต้นทุนคงที่หรือภาระสัญญาเช่าจำนวนมากแบบบริษัทแม่
การเสนอขายหุ้น IPO ของ WeWork India ดึงดูดความสนใจอย่างมากจากนักลงทุนสถาบัน ทำให้สามารถระดมทุนได้จำนวนมาก ซึ่งฝ่ายบริหารสามารถนำไปใช้เพื่อลดภาระสัญญาเช่า ลงทุนในทำเลที่ให้ผลตอบแทนสูง หรือยุติสัญญาที่ขาดทุน ทั้งหมดนี้ล้วนช่วยเร่งการบรรลุ “จุดคุ้มทุนอย่างยั่งยืน”
มีรายงานว่า Embassy Group ได้นำเงินบางส่วนจาก IPO ไปจัดการปรับปรุงงบดุลอย่างมีกลยุทธ์ ซึ่งช่วยเสริมความแข็งแกร่งให้กับภาพลักษณ์ทางการเงินของบริษัท
ชื่อเสียงของแบรนด์ WeWork ยังคงมีความสำคัญต่อบริษัทรายใหญ่และสตาร์ทอัพที่ต้องการบริการมาตรฐานสูงและคุณภาพที่คาดการณ์ได้
หากทีมบริหารในอินเดียสามารถรักษาอัตราการเช่า (Occupancy) อัตรากำไรขั้นต้น (Gross Margin) และอัตราการรักษาลูกค้า (Client Retention) ได้อย่างต่อเนื่อง แบรนด์ WeWork จะกลับมาเป็น “สินทรัพย์” มากกว่า “ภาระ”นักลงทุนในตลาดทุนยังอาจประเมินมูลค่าบริษัทแฟรนไชส์ที่มีเสถียรภาพแตกต่างจาก WeWork Global ในยุคก่อนปี 2019 ที่เติบโตเร็วแต่ไร้ความยั่งยืน
โดยสรุป ปัจจัยทั้งหมดนี้ได้สร้าง “เส้นทางที่น่าเชื่อถือ” ให้กับ WeWork India ในการทำกำไร ขยายธุรกิจอย่างมีกลยุทธ์ และกลายเป็นกรณีศึกษาที่ประสบความสำเร็จ แม้ว่าบริษัทแม่ในระดับโลกยังคงอยู่ระหว่างฟื้นฟูงบดุลและภาพลักษณ์ก็ตาม
จำเป็นต้องมองเรื่องนี้อย่าง “เป็นจริงเป็นจัง”การเสนอขายหุ้น IPO และผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของ WeWork India ถือว่ามีความหมาย แต่ยังไม่เพียงพอที่จะเรียกว่าเป็น “การฟื้นคืนชีพของ WeWork ทั่วโลก” ได้อย่างแท้จริง โดยมีเหตุผลสำคัญหลายประการดังนี้
WeWork India เป็นธุรกิจแฟรนไชส์ และหลังปี 2024 บริษัทแม่ไม่ได้ถือหุ้นโดยตรงอีกต่อไป ซึ่งหมายความว่าอินเดียไม่ได้รับภาระหนี้สินหรือภาระสัญญาเช่าจำนวนมากเหมือนบริษัทแม่ในระดับโลก ดังนั้น การที่สาขาอินเดียทำผลงานได้ดีไม่ได้เท่ากับ ว่า WeWork Inc. จะกลับมามีขนาดธุรกิจหรือมูลค่าเทียบเท่าช่วงรุ่งเรืองก่อนหน้านี้ได้
แม้ WeWork India จะมีอัตรากำไรที่ดีและบริหารสัญญาเช่าได้อย่างมีวินัย แต่สิ่งนี้ไม่สามารถลบคำถามเชิงโครงสร้างเกี่ยวกับความต้องการพื้นที่สำนักงานระยะยาวในตลาดสหรัฐฯ และยุโรปที่เริ่มอิ่มตัว หรือภาระสัญญาเช่าขนาดใหญ่ที่เป็นต้นเหตุให้บริษัทแม่ล้มลงในอดีตได้
ชื่อ “WeWork” ยังคงเตือนให้นักลงทุนจำได้ถึงความล้มเหลวในช่วงปี 2019–2020 นักลงทุนจึงยังไม่พร้อมที่จะให้มูลค่าพรีเมียมสำหรับการฟื้นตัวในระดับโลก จนกว่าจะเห็นการบริหารที่โปร่งใส มีธรรมาภิบาล และสามารถทำกำไรได้อย่างต่อเนื่องในระยะยาว
ดังนั้น แม้ว่าอินเดียจะมีศักยภาพในการ “ชุบชีวิตแบรนด์ WeWork” ที่เคยหายไป แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าโลกจะให้ “ไฟเขียว” ง่าย ๆ ต่อการฟื้นคืนชีพของอาณาจักร WeWork ในระดับโลกได้โดยอัตโนมัติ
ธรรมาภิบาลและการตรวจสอบผู้ถือหุ้นใหญ่
วัฏจักรเศรษฐกิจและแรงกดดันมหภาค
การแข่งขันที่รุนแรงและแรงกดดันด้านอัตรากำไร
ความเสี่ยงจากสัญญาเช่าและความสัมพันธ์กับเจ้าของอาคาร
ผลกระทบจากภาพลักษณ์แบรนด์ระดับโลก
ฉากทัศน์กระทิง (Bull – 30%) : เศรษฐกิจอินเดียยังคงเติบโตอย่างแข็งแกร่ง ความต้องการจากภาคเทคโนโลยีและสตาร์ทอัพยังคงสูง อัตราการเช่าพื้นที่ (Occupancy) เพิ่มขึ้น 5–10% ต่อปี และอัตรากำไร (Margin) ดีขึ้นเมื่อขนาดธุรกิจขยายและต้นทุนต่อโต๊ะลดลง WeWork India แสดงให้เห็นว่าโมเดลแฟรนไชส์สามารถทำซ้ำได้จริง และมูลค่าหุ้นได้รับการปรับขึ้นสู่ระดับพรีเมียม
ฉากทัศน์พื้นฐาน (Base – 50%) : เศรษฐกิจเติบโตในระดับปานกลาง อัตราการเช่าพื้นที่คงที่ และอัตรากำไรทรงตัว ราคาหุ้นเคลื่อนไหวไปตามทิศทางตลาดโดยนักลงทุนรอหลักฐานชัดเจนของกระแสเงินสดอิสระ (Free Cash Flow – FCF) บริษัทอาจออกมาตรการซื้อหุ้นคืน (Buyback) หรือให้แนวทางจ่ายเงินปันผล (Dividend Guidance) เป็นระยะ เพื่อรักษาความเชื่อมั่นของนักลงทุน
ฉากทัศน์หมี (Bear – 20%) : เกิดเหตุการณ์เศรษฐกิจชะลอตัวหรือบริษัทต่าง ๆ ลดงบประมาณสำนักงาน ทำให้ความต้องการพื้นที่ทำงานแบบยืดหยุ่นลดลง หากเกิดปัญหาธรรมาภิบาลหรือคดีความ ราคาหุ้นอาจถูกลงโทษจากตลาด และมูลค่าหุ้นลดลงต่ำกว่าราคา IPO
ฉากทัศน์เหล่านี้ช่วยให้นักลงทุนสามารถกำหนดขนาดการลงทุนและตั้งจุดติดตามความเสี่ยงได้ชัดเจน โดยใช้ตัวชี้วัดหลัก เช่น อัตราการเช่าพื้นที่ รายได้เฉลี่ยต่อผู้ใช้ การหมดอายุของสัญญาเช่า และการจำนำหุ้นของผู้ถือหุ้นใหญ่
ผลประกอบการรายไตรมาสของอัตราการเช่า (Occupancy) และ ARPU
กระแสเงินสดจากการดำเนินงาน และการแปลงเป็นกระแสเงินสดอิสระ (Operating & Free Cash Flow Conversion)
ความคืบหน้าด้านธรรมาภิบาล และการจำนำหุ้นของผู้ถือหุ้นใหญ่
ผลการต่อสัญญาเช่าและเงื่อนไขกับเจ้าของอาคาร
สัญญาณเศรษฐกิจมหภาคเกี่ยวกับความต้องการพื้นที่สำนักงานในอินเดีย
WeWork India IPO เปิดตัวในเดือนตุลาคม 2025 ถือเป็นการเข้าจดทะเบียนในตลาดหลักทรัพย์ของบริษัท WeWork India Management Ltd ซึ่งเป็นแฟรนไชส์ที่บริหารโดย Embassy Group ซึ่งแตกต่างจากการเสนอขายหุ้น IPO ที่ล้มเหลวของ WeWork Inc. ในสหรัฐฯ เมื่อปี 2019 การเสนอขายครั้งนี้ครอบคลุมเฉพาะกิจการในอินเดีย ไม่ได้เกี่ยวข้องโดยตรงกับบริษัทแม่ระดับโลก
หุ้นของ WeWork India เปิดตัวในตลาดหลักทรัพย์ NSE และ BSE ด้วยราคาทรงตัวถึงบวกเล็กน้อย ใกล้กับราคาจองซื้อ ปฏิกิริยาเริ่มต้นของตลาดสะท้อนความระมัดระวังของนักลงทุน เนื่องจากชื่อเสียงของแบรนด์ WeWork ในระดับโลกเคยมีประวัติความล้มเหลวมาก่อน
WeWork India ดำเนินการอย่างอิสระในฐานะ “แฟรนไชส์” ไม่ใช่ “บริษัทย่อย” ของ WeWork Inc. บริษัทมีงบการเงิน ทีมบริหาร และสัญญาเช่า เป็นของตนเองทั้งหมด ซึ่งช่วยให้สามารถตัดสินใจทางธุรกิจได้อย่างยืดหยุ่นและสอดคล้องกับตลาดท้องถิ่น
นักวิเคราะห์ให้มุมมองแบบเป็นกลางถึงเชิงบวกอย่างระมัดระวัง โดยนักลงทุนสถาบันมองว่าเป็นโอกาสลงทุนที่มีความเสี่ยงปานกลางในตลาดพื้นที่ทำงานแบบยืดหยุ่นที่กำลังเติบโตในอินเดีย
โดยสรุป IPO ของบริษัท WeWork India ถือเป็นบทสำคัญในเส้นทางการฟื้นตัวของแบรนด์ WeWork มันแสดงให้เห็นว่าผู้ประกอบการท้องถิ่นที่มีการบริหารจัดการอย่างมีวินัยสามารถสร้างมูลค่าจากแบรนด์ระดับโลกที่เคยแตกสลายได้
หาก WeWork India สามารถดำเนินธุรกิจต่อไปได้อย่างมีประสิทธิภาพและมีวินัย ก็อาจพิสูจน์ได้ว่า “โมเดลที่ล้มเหลวในระดับโลก” ยังสามารถประสบความสำเร็จได้ในตลาดเกิดใหม่ หากมีโครงสร้างและการบริหารที่ถูกต้อง
อย่างไรก็ตาม นักลงทุนควรระมัดระวัง เพราะยังมีความเสี่ยงด้านธรรมาภิบาล การประเมินมูลค่า วัฏจักรเศรษฐกิจ และการแข่งขันในอุตสาหกรรม ดังนั้น IPO ของอินเดีย จึงควรถูกมองว่าเป็น “กรณีทดสอบ” มากกว่าจะเป็น “การฟื้นคืนชีพของ WeWork ทั่วโลก”
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ