เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-16 อัปเดตเมื่อ: 2025-10-17
สกุลเงิน Cross Currency หมายถึง คู่สกุลเงินหรือธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงินตราที่ไม่ได้มีการใช้ดอลลาร์สหรัฐเป็นหนึ่งในคู่สกุลเงินนั้น
การทำความเข้าใจความสัมพันธ์ของ Cross Currency เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับฝ่ายการเงินของสถาบัน (Institutional Treasuries) นักเทรด Forex (FX Traders) และบรรษัทข้ามชาติ (Multinational Corporations) เนื่องจากคู่สกุลเงินเหล่านี้สะท้อนมูลค่าสัมพัทธ์โดยตรงระหว่างสองเศรษฐกิจที่ไม่ใช่ดอลลาร์สหรัฐ มีผลต่อค่าใช้จ่ายในการป้องกันความเสี่ยง (Hedging) และต้นทุนการระดมทุน (Funding Costs) รวมถึงช่วยบ่งชี้ภาวะตึงตัวของสภาพคล่องดอลลาร์ทั่วโลกผ่านส่วนต่างอัตรา Cross-Currency Basis
Cross Currency คือคู่สกุลเงินหรือธุรกรรมทางการเงินที่ไม่มีดอลลาร์สหรัฐ (USD) อยู่ในคู่สกุลเงินนั้น ตัวอย่างเช่น EUR/JPY, EUR/GBP และ AUD/NZD นอกจากนี้คำว่า Cross Currency ยังหมายถึงธุรกรรมที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับดอลลาร์สหรัฐ เช่น การออกใบแจ้งหนี้ (Invoicing) เงินกู้ (Loans) หรือการทำสัญญาป้องกันความเสี่ยง (Hedges) ที่ชำระระหว่างสองสกุลเงินที่ไม่ใช่ USD
ในตลาด Forex (FX Market) Cross Currency มักถูกเรียกว่า “Crosses” หรือ “Cross Pairs” โดยจะอยู่ในระดับกลางระหว่างคู่เงินหลักที่มีสภาพคล่องสูงซึ่งอ้างอิงกับ USD (Major Pairs) และคู่เงินที่มีสภาพคล่องต่ำหรือคู่เงินแปลกใหม่ (Exotic Pairs)
อัตราแลกเปลี่ยนของ Cross Currency มักได้มาจากคู่สกุลเงินที่อ้างอิงกับ USD สองคู่ โดยวิธีทั่วไปคือการใช้ USD เป็นตัวกลาง (เรียกว่า “ความสัมพันธ์แบบสามเหลี่ยม”)
ตัวอย่าง:
EUR/JPY = (EUR/USD) × (USD/JPY)
หาก EUR/USD = 1.0800 และ USD/JPY = 150.00 ดังนั้น EUR/JPY ≈ 1.0800 × 150.00 = 162.00
ในตลาดระหว่างธนาคาร (Interbank Market) ผู้ทำหน้าตลาด (Market Makers) และผู้ให้สภาพคล่องทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Liquidity Providers) จะเสนอราคา Cross Rate โดยตรงหากมีสภาพคล่องเพียงพอ หรือคำนวณจากคู่เงินที่อ้างอิงกับ USD หากตลาดมีสภาพคล่องต่ำ การดำเนินธุรกรรมอาจทำผ่านการเสนอราคาโดยตรงของ Cross หรือผ่านการแปลงค่าโดยใช้ USD ตามหลักของการเก็งกำไรสามเหลี่ยม (Triangular Arbitrage)
ความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยและอัตราผลตอบแทนระหว่างสองสกุลเงิน
ความแตกต่างของนโยบายการเงิน (การดำเนินการและการชี้นำล่วงหน้าของธนาคารกลาง)
กระแสการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัด
กระแสเงินทุนและความรู้สึกต่อความเสี่ยง (เช่น การย้ายเงินไปยังสินทรัพย์ปลอดภัย หรือการปิดสถานะ Carry Trade)
สภาพคล่องและโครงสร้างของตลาด (เช่น ความลึกของสมุดคำสั่งในคู่สกุลเงินนั้น ๆ)
Major Crosses: คู่สกุลเงินหลักที่มีปริมาณการซื้อขายสูงและสภาพคล่องลึก เช่น EUR/JPY, EUR/GBP, GBP/JPY, AUD/JPY
Minor หรือ Regional Crosses: คู่สกุลเงินระดับรองหรือระดับภูมิภาค มีสภาพคล่องปานกลาง มักใช้เพื่อสะท้อนการเคลื่อนไหวในภูมิภาค เช่น AUD/NZD, EUR/NZD, CAD/JPY
Emerging-Market Crosses: คู่สกุลเงินของตลาดเกิดใหม่ที่ไม่มี USD เป็นส่วนประกอบ เช่น BRL/INR, ZAR/TRY ซึ่งโดยทั่วไปจะมีสภาพคล่องต่ำและมีความผันผวนสูงกว่า
สภาพคล่องจะลดลงและส่วนต่างระหว่างราคาเสนอซื้อ–ขาย (Bid-Ask Spread): จะกว้างขึ้น เมื่อเคลื่อนจากคู่ Major ไปสู่คู่ Regional และคู่ของตลาดเกิดใหม่
รูปแบบความผันผวนแตกต่างกัน: คู่สกุลเงินที่เชื่อมโยงกับสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity-Linked Crosses) เช่น AUD/CAD, AUD/NZD มักเคลื่อนไหวตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ คู่สกุลเงินที่มีเงินเยน (Yen Crosses) เช่น EUR/JPY, GBP/JPY มักมีการเคลื่อนไหวระหว่างวันในระดับสูง เนื่องจากอิทธิพลของกลยุทธ์ Carry Trade และความรู้สึกต่อความเสี่ยงในตลาด
แสดงมุมมองเชิงเปรียบเทียบโดยตรง: นักลงทุนอาจมีมุมมองต่อความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ของสองเศรษฐกิจที่ไม่ใช่ USD เช่น มองว่ายูโรจะแข็งค่ากว่าเงินเยน
หลีกเลี่ยงการเปิดรับความเสี่ยงจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ: บริษัทหรือกองทุนอาจต้องการป้องกันความเสี่ยงหรือเปิดสถานะโดยไม่เกี่ยวข้องกับค่าเงินดอลลาร์
กลยุทธ์อัตราผลตอบแทน (Carry and Yield Strategies): ทำกำไรจากความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างสองสกุลเงินที่ไม่ใช่ USD
โอกาสเก็งกำไรและอาร์บิทราจสามเหลี่ยม (Arbitrage and Triangular Opportunities): เก็งกำไรจากความแตกต่างระหว่างราคา Cross ที่ตลาดเสนอและราคา Cross ที่คำนวณได้ตามหลักคณิตศาสตร์
Spot: การแลกเปลี่ยนเงินตราทันทีตามอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน
Forward: ข้อตกลงแลกเปลี่ยนเงินตราในอนาคต โดยอัตราแลกเปลี่ยนถูกกำหนดตามความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างสองสกุลเงิน
Cross-Currency Swap คือข้อตกลงแลกเปลี่ยนทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยระหว่างสองสกุลเงิน ซึ่งใช้สำหรับการระดมทุนระยะยาวหรือการป้องกันความเสี่ยงระหว่างสกุลเงินที่ไม่ใช่ USD แม้ว่า Swap จะเป็นตราสารที่มีลักษณะเฉพาะ แต่ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของระบบ Cross Currency โดยมีอิทธิพลต่อทั้งต้นทุนการระดมทุนและพฤติกรรมการป้องกันความเสี่ยงของผู้เข้าตลาด
Cross-Currency Basis คือส่วนต่าง (Spread) ที่ใช้ปรับสมดุลระหว่างอัตรา Forward ที่ได้จากทฤษฎี Covered Interest Parity (CIP) และอัตรา Forward ที่เกิดขึ้นจริงในตลาด
หาก Basis ไม่เท่ากับศูนย์ หมายถึงตลาดเกิดความไม่สมดุลของเงินทุน เช่น ปัญหาการขาดแคลนสกุลเงินใดสกุลเงินหนึ่งในตลาด FX Swap ความกังวลด้านความเสี่ยงของคู่สัญญา (Counterparty Credit Risk) หรือผลจากต้นทุนด้านกฎระเบียบ Cross-Currency Basis จึงถือเป็นสัญญาณสำคัญที่สะท้อนภาวะตึงตัวของสภาพคล่องในเงินดอลลาร์ (หรือสกุลเงินอื่น ๆ) ในตลาดโลก
การกำหนดราคา Forward ของคู่สกุลเงิน Cross Currency ขึ้นอยู่กับอัตรา Spot และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างสองสกุลเงิน (ผ่านค่าความต่างของ Forward Points) เมื่อธนาคารกำหนดราคา Forward หรือ Swap จะมีการรวมค่า Cross-Currency Basis เข้าไปด้วย หากตลาดมีความต้องการหรือมีส่วนเบี่ยงเบนในอัตรานั้น
อัตราดอกเบี้ยมาตรฐานระยะข้ามคืนและระยะยาว เช่น SOFR, €STR, TONAR, SONIA เป็นต้น จะถูกนำมาใช้ในการประเมินมูลค่าของส่วนดอกเบี้ยลอยตัว (Floating Legs) ในสัญญา Swap รวมถึงใช้ในการสร้างเส้นอัตราผลตอบแทนล่วงหน้า (Forward Curve)
ธนาคารขนาดใหญ่และ CCPs (Central Counterparties) ได้ขยายระบบชำระราคา (Clearing) สำหรับตราสารอนุพันธ์อัตราดอกเบี้ยและฟอเร็กซ์ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยของตลาด ในขณะเดียวกัน ระบบการชำระเงินข้ามสกุลเงิน เช่น CLS (Continuous Linked Settlement) มีบทบาทสำคัญในการลดความเสี่ยงจากการส่งมอบ (Settlement Risk) สำหรับธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับหลายสกุลเงิน
คู่สกุลเงิน (Cross Pair) | ความสัมพันธ์กับ USD ที่ใช้ในการคำนวณ (Implied USD Legs) | กรณีการใช้งานทั่วไป |
---|---|---|
EUR/JPY | EUR/USD × USD/JPY | ป้องกันความเสี่ยงจากสินทรัพย์ยูโรที่มีหนี้สินเป็นเงินเยน |
EUR/GBP | EUR/USD ÷ GBP/USD | การวางตำแหน่งเชิงเปรียบเทียบระหว่างยูโรกับปอนด์สเตอร์ลิง |
AUD/NZD | AUD/USD ÷ NZD/USD | การลงทุนในภูมิภาคออสเตรเลเซียหรือสินค้าส่งออก |
GBP/CHF | GBP/USD × USD/CHF | แสดงมุมมองการเคลื่อนไหวระหว่างปอนด์กับฟรังก์สวิส |
(หมายเหตุ: การคำนวณดังกล่าวได้มาจากการใช้คู่สกุลเงินที่อ้างอิงกับ USD เพื่อหาค่า Cross Currency โดยนัย)
ตลาด Forexมีขนาดมหาศาล โดยรายงานการสำรวจสามปีของ BIS (Bank for International Settlements) ระบุว่าในเดือนเมษายน ปี 2025 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในตลาด FX อยู่ที่ 9.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 28% เมื่อเทียบกับปี 2022
ดอลลาร์สหรัฐยังคงอยู่ในฝั่งใดฝั่งหนึ่งของธุรกรรมประมาณ 89% ของการซื้อขายทั้งหมด ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญอย่างต่อเนื่องของ USD แม้ว่าการซื้อขายแบบ Cross Currency จะเติบโตขึ้นก็ตาม ตัวเลขเหล่านี้ตอกย้ำว่า แม้ Cross Currency จะมีบทบาทสำคัญ แต่ดอลลาร์สหรัฐก็ยังคงเป็นศูนย์กลางที่หล่อหลอมโครงสร้างของตลาดฟอเร็กซ์ทั่วโลก
พฤติกรรมของ Cross-Currency Basis ได้กลายเป็นประเด็นเชิงโครงสร้างที่สำคัญในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยส่วนต่างนี้ขยายตัวอย่างรุนแรงในช่วงความผันผวนของตลาดเดือนมีนาคม ปี 2020 จากวิกฤตโควิด-19 และในช่วงหลังได้ถูกใช้เพื่ออธิบายความต้องการในการป้องกันความเสี่ยงจากการถือครองเงินดอลลาร์ในช่วงที่เงินดอลลาร์อ่อนค่าหรือขาดแคลน ดังนั้น Cross-Currency Basis จึงทำหน้าที่ทั้งในฐานะ ตัวชี้วัดแรงกดดันด้านสภาพคล่องการระดมทุน และเป็น ตัวกำหนดราคาของคู่สกุลเงิน Cross Currency
การซื้อขายคู่สกุลเงิน Cross Currency ได้เปลี่ยนผ่านสู่แพลตฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์และการใช้ อัลกอริทึมในการดำเนินคำสั่งซื้อขาย (Algo Execution) มากขึ้น ขณะเดียวกันศูนย์กลางทางการเงินระดับภูมิภาค เช่น ลอนดอน โตเกียว และสิงคโปร์ ยังคงมีบทบาทสำคัญในการจัดหาสภาพคล่องให้กับตลาด
การเติบโตของเงินหยวนจีน (Renminbi) และการใช้งานสกุลเงินประจำภูมิภาคที่เพิ่มขึ้น ยังส่งผลให้จำนวนคู่สกุลเงิน Cross Currency ที่มีการซื้อขายอย่างต่อเนื่องเพิ่มมากขึ้นด้วย
ความเสี่ยงทางการตลาด: สกุลเงินที่ไม่ใช่ดอลลาร์สหรัฐทั้งสองอาจเคลื่อนไหวอย่างอิสระจากกัน ทำให้เกิดความผันผวนสัมพัทธ์ในระดับสูง
ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง: คู่สกุลเงิน Cross Currency ส่วนใหญ่มีสมุดคำสั่งซื้อขายที่บางกว่าคู่สกุลเงินหลักที่มี USD เป็นองค์ประกอบ ทำให้เกิด slippage และส่วนต่างราคาซื้อ–ขาย (spread) ที่กว้างขึ้นในภาวะตลาดตึงตัว
ความเสี่ยงด้าน Basis และการระดมทุน: การเปลี่ยนแปลงของส่วนต่าง Cross-Currency Basis ในทิศทางไม่พึงประสงค์ อาจเพิ่มต้นทุนในการป้องกันความเสี่ยงหรือในการระดมทุน
ความเสี่ยงด้านสินเชื่อและคู่สัญญา: ธุรกรรม Swap หรือ Forward อาจทำให้สถาบันการเงินมีความเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระหนี้ของคู่สัญญา หากไม่มีการชำระผ่านศูนย์กลาง (Central Clearing) หรือไม่มีหลักประกันค้ำไว้
ความเสี่ยงด้านปฏิบัติการและกฎหมาย: จำเป็นต้องจัดการเอกสาร เช่น ISDA Schedule และข้อตกลงหลักประกัน (Collateral Agreements) รวมถึงการประสานเวลาการชำระธุรกรรมในเขตเวลาที่แตกต่างกันอย่างรอบคอบ
กำหนดขีดจำกัดสภาพคล่องที่เข้มงวด (Robust Liquidity Limits)
ใช้ระบบชำระราคาผ่านศูนย์กลาง (Central Clearing) เมื่อสามารถทำได้
ใช้กลยุทธ์การป้องกันความเสี่ยงแบบพลวัต (Dynamic Hedging)
ติดตามและตรวจสอบ Cross-Currency Basis และเส้นอัตราผลตอบแทนจากการระดมทุน (Funding Curves) อย่างต่อเนื่อง
ตรวจสอบอัตรา Cross โดยใช้การคำนวณแบบสามเหลี่ยม: ตรวจสอบอัตรา Cross ที่คำนวณได้กับราคาที่เสนอในตลาดจริง เพื่อป้องกันการเกิดราคาผิดปกติหรือโอกาสเก็งกำไรที่ไม่ถูกต้อง
ติดตาม Basis อย่างใกล้ชิด (Monitor the Basis): การเปลี่ยนแปลงของ Cross-Currency Basis อาจส่งผลให้ต้นทุนของ Forward หรือ Swap เพิ่มขึ้นหรือลดลง ควรนำปัจจัยนี้เข้าสู่การทดสอบภาวะวิกฤต (Stress Test)
กระจายช่องทางการซื้อขาย: ใช้หลายแหล่งสภาพคล่อง เช่น ตลาด OTC ของธนาคาร ระบบ EBS หรือ Refinitiv และแพลตฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ เพื่อลดความเสี่ยงจากการดำเนินการในตลาดที่สภาพคล่องบาง
ป้องกันความเสี่ยงแบบยืดหยุ่น: หากเป็นการเปิดสถานะชั่วคราว ควรใช้สัญญา Forward ระยะสั้นหรือสัญญาแบบ NDF (Non-Deliverable Forward) ในตลาดที่มีข้อจำกัดด้านสกุลเงิน
จัดทำเอกสารและวางหลักประกัน: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าข้อกำหนดภายใต้สัญญา ISDA และข้อตกลงหลักประกันสะท้อนรูปแบบการชำระราคาและการจัดการความเสี่ยงของคู่สัญญาอย่างเหมาะสม
อิทธิพลของดอลลาร์สหรัฐที่ยังคงอยู่: แม้ปริมาณการซื้อขาย Cross Currency จะเพิ่มขึ้น แต่ดอลลาร์สหรัฐยังคงเป็นศูนย์กลางของการกำหนดราคาและการชำระธุรกรรม ทำให้สภาพคล่องของคู่ Cross มักสะท้อนสภาวะของตลาดดอลลาร์โดยตรง
พฤติกรรมของ Basis ที่คงอยู่ต่อเนื่อง: ต้นทุนทางกฎระเบียบ ข้อจำกัดในงบดุลของธนาคาร และภาวะตึงตัวของตลาดเงินทุนที่เกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ อาจทำให้ Cross-Currency Basis ยังคงเป็นปัจจัยเชิงโครงสร้างในการกำหนดราคาอย่างต่อเนื่อง
เทคโนโลยีและโครงสร้างตลาด: การใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์และอัลกอริทึมจะช่วยลดต้นทุนการดำเนินการของคู่ Cross จำนวนมาก แต่ในช่วงวิกฤต ตลาดอาจยังคงเผชิญการหดตัวของสภาพคล่องอย่างฉับพลัน
การเพิ่มขึ้นของสกุลเงินในภูมิภาค: การเพิ่มขึ้นของการใช้เงินหยวนจีน (Renminbi) และสกุลเงินประจำภูมิภาคอื่น ๆ จะช่วยเพิ่มจำนวนคู่สกุลเงิน Cross Currency ที่มีสภาพคล่องสูงในอนาคต
ตลาดเงินตราข้ามสกุล (Cross Currency Market) ถือเป็นจุดบรรจบระหว่างสภาพคล่องทั่วโลก ความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ย และพลวัตของกระแสเงินทุนระหว่างประเทศ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงกลไกในการกำหนดราคาเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงวิธีที่แต่ละประเทศจัดการด้านการระดมทุน การป้องกันความเสี่ยง และการสร้างสมดุลทางเศรษฐกิจของตนให้พ้นจากอิทธิพลของเงินดอลลาร์ได้แบบเรียลไทม์
สำหรับนักลงทุนและสถาบันทางการเงิน การทำความเข้าใจความสัมพันธ์ของเงินตราข้ามสกุลไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็น ไม่ว่าจะเป็นการบริหารความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน การประเมินต้นทุนทางการเงิน หรือการวิเคราะห์ทิศทางของตลาด สัญญาณจากตลาดเงินตราข้ามสกุลมักบ่งบอกถึง “ความจริงของการเงินโลก” ได้เร็วกว่าข่าวสารใด ๆ
หมายถึงคู่สกุลเงินหรือธุรกรรมที่ไม่ได้มีเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น EUR/JPY
โดยทั่วไปจะคำนวณจากคู่เงินที่อ้างอิงกับดอลลาร์สหรัฐสองคู่ ผ่านการคำนวณแบบสามเหลี่ยม เช่น EUR/JPY = EUR/USD × USD/JPY
เพราะเป็นตัวชี้ให้เห็นถึงความไม่สมดุลของตลาดเงินทุน และส่งผลโดยตรงต่อการกำหนดราคาในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าและสว็อป โดยฐานที่กว้างขึ้นมักหมายถึงต้นทุนการป้องกันความเสี่ยงหรือการระดมทุนที่สูงขึ้น
คู่เงินที่มีการซื้อขายมากที่สุด ได้แก่ EUR/JPY, EUR/GBP, GBP/JPY และ AUD/JPY
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ