简体中文 繁體中文 English 한국어 日本語 Español Bahasa Indonesia Tiếng Việt Português Монгол العربية हिन्दी Русский ئۇيغۇر تىلى

คู่มือฉบับสมบูรณ์สู่การเทรดและอัตราแลกเปลี่ยน Cross Currency

เผยแพร่เมื่อ: 2025-10-16    อัปเดตเมื่อ: 2025-10-17

สกุลเงิน Cross Currency หมายถึง คู่สกุลเงินหรือธุรกรรมแลกเปลี่ยนเงินตราที่ไม่ได้มีการใช้ดอลลาร์สหรัฐเป็นหนึ่งในคู่สกุลเงินนั้น


การทำความเข้าใจความสัมพันธ์ของ Cross Currency เป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งสำหรับฝ่ายการเงินของสถาบัน (Institutional Treasuries) นักเทรด Forex (FX Traders) และบรรษัทข้ามชาติ (Multinational Corporations) เนื่องจากคู่สกุลเงินเหล่านี้สะท้อนมูลค่าสัมพัทธ์โดยตรงระหว่างสองเศรษฐกิจที่ไม่ใช่ดอลลาร์สหรัฐ มีผลต่อค่าใช้จ่ายในการป้องกันความเสี่ยง (Hedging) และต้นทุนการระดมทุน (Funding Costs) รวมถึงช่วยบ่งชี้ภาวะตึงตัวของสภาพคล่องดอลลาร์ทั่วโลกผ่านส่วนต่างอัตรา Cross-Currency Basis


แนวคิดและคำจำกัดความอย่างเป็นทางการของ “Cross Currency”

ความหมายของ Cross Currency

Cross Currency คือคู่สกุลเงินหรือธุรกรรมทางการเงินที่ไม่มีดอลลาร์สหรัฐ (USD) อยู่ในคู่สกุลเงินนั้น ตัวอย่างเช่น EUR/JPY, EUR/GBP และ AUD/NZD นอกจากนี้คำว่า Cross Currency ยังหมายถึงธุรกรรมที่ไม่ได้เกี่ยวข้องกับดอลลาร์สหรัฐ เช่น การออกใบแจ้งหนี้ (Invoicing) เงินกู้ (Loans) หรือการทำสัญญาป้องกันความเสี่ยง (Hedges) ที่ชำระระหว่างสองสกุลเงินที่ไม่ใช่ USD


ในตลาด Forex (FX Market) Cross Currency มักถูกเรียกว่า “Crosses” หรือ “Cross Pairs” โดยจะอยู่ในระดับกลางระหว่างคู่เงินหลักที่มีสภาพคล่องสูงซึ่งอ้างอิงกับ USD (Major Pairs) และคู่เงินที่มีสภาพคล่องต่ำหรือคู่เงินแปลกใหม่ (Exotic Pairs)


วิธีการกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนของ Cross Currency


1. ความสัมพันธ์แบบสามเหลี่ยมและการคำนวณ

อัตราแลกเปลี่ยนของ Cross Currency มักได้มาจากคู่สกุลเงินที่อ้างอิงกับ USD สองคู่ โดยวิธีทั่วไปคือการใช้ USD เป็นตัวกลาง (เรียกว่า “ความสัมพันธ์แบบสามเหลี่ยม”)


  • ตัวอย่าง:

    EUR/JPY = (EUR/USD) × (USD/JPY)

    หาก EUR/USD = 1.0800 และ USD/JPY = 150.00 ดังนั้น EUR/JPY ≈ 1.0800 × 150.00 = 162.00


2. การเสนอราคาและบทบาทของตลาดระหว่างธนาคาร

ในตลาดระหว่างธนาคาร (Interbank Market) ผู้ทำหน้าตลาด (Market Makers) และผู้ให้สภาพคล่องทางอิเล็กทรอนิกส์ (Electronic Liquidity Providers) จะเสนอราคา Cross Rate โดยตรงหากมีสภาพคล่องเพียงพอ หรือคำนวณจากคู่เงินที่อ้างอิงกับ USD หากตลาดมีสภาพคล่องต่ำ การดำเนินธุรกรรมอาจทำผ่านการเสนอราคาโดยตรงของ Cross หรือผ่านการแปลงค่าโดยใช้ USD ตามหลักของการเก็งกำไรสามเหลี่ยม (Triangular Arbitrage)


3. ปัจจัยหลักที่ส่งผลต่อการเคลื่อนไหวของอัตรา Cross Rate

  • ความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยและอัตราผลตอบแทนระหว่างสองสกุลเงิน

  • ความแตกต่างของนโยบายการเงิน (การดำเนินการและการชี้นำล่วงหน้าของธนาคารกลาง)

  • กระแสการค้าและดุลบัญชีเดินสะพัด

  • กระแสเงินทุนและความรู้สึกต่อความเสี่ยง (เช่น การย้ายเงินไปยังสินทรัพย์ปลอดภัย หรือการปิดสถานะ Carry Trade)

  • สภาพคล่องและโครงสร้างของตลาด (เช่น ความลึกของสมุดคำสั่งในคู่สกุลเงินนั้น ๆ)


การจำแนกประเภทของคู่สกุลเงิน Cross Currency

การจำแนกประเภทของคู่สกุลเงิน Cross Currency

1. ประเภทของคู่สกุลเงิน

  1. Major Crosses: คู่สกุลเงินหลักที่มีปริมาณการซื้อขายสูงและสภาพคล่องลึก เช่น EUR/JPY, EUR/GBP, GBP/JPY, AUD/JPY

  2. Minor หรือ Regional Crosses: คู่สกุลเงินระดับรองหรือระดับภูมิภาค มีสภาพคล่องปานกลาง มักใช้เพื่อสะท้อนการเคลื่อนไหวในภูมิภาค เช่น AUD/NZD, EUR/NZD, CAD/JPY

  3. Emerging-Market Crosses: คู่สกุลเงินของตลาดเกิดใหม่ที่ไม่มี USD เป็นส่วนประกอบ เช่น BRL/INR, ZAR/TRY ซึ่งโดยทั่วไปจะมีสภาพคล่องต่ำและมีความผันผวนสูงกว่า


2. ลักษณะทั่วไป

  • สภาพคล่องจะลดลงและส่วนต่างระหว่างราคาเสนอซื้อ–ขาย (Bid-Ask Spread): จะกว้างขึ้น เมื่อเคลื่อนจากคู่ Major ไปสู่คู่ Regional และคู่ของตลาดเกิดใหม่

  • รูปแบบความผันผวนแตกต่างกัน: คู่สกุลเงินที่เชื่อมโยงกับสินค้าโภคภัณฑ์ (Commodity-Linked Crosses) เช่น AUD/CAD, AUD/NZD มักเคลื่อนไหวตามราคาสินค้าโภคภัณฑ์ คู่สกุลเงินที่มีเงินเยน (Yen Crosses) เช่น EUR/JPY, GBP/JPY มักมีการเคลื่อนไหวระหว่างวันในระดับสูง เนื่องจากอิทธิพลของกลยุทธ์ Carry Trade และความรู้สึกต่อความเสี่ยงในตลาด


เหตุผลที่ผู้เข้าร่วมตลาดเทรดคู่สกุลเงิน Cross Currency


  1. แสดงมุมมองเชิงเปรียบเทียบโดยตรง: นักลงทุนอาจมีมุมมองต่อความแข็งแกร่งสัมพัทธ์ของสองเศรษฐกิจที่ไม่ใช่ USD เช่น มองว่ายูโรจะแข็งค่ากว่าเงินเยน

  2. หลีกเลี่ยงการเปิดรับความเสี่ยงจากสกุลเงินดอลลาร์สหรัฐ: บริษัทหรือกองทุนอาจต้องการป้องกันความเสี่ยงหรือเปิดสถานะโดยไม่เกี่ยวข้องกับค่าเงินดอลลาร์

  3. กลยุทธ์อัตราผลตอบแทน (Carry and Yield Strategies): ทำกำไรจากความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างสองสกุลเงินที่ไม่ใช่ USD

  4. โอกาสเก็งกำไรและอาร์บิทราจสามเหลี่ยม (Arbitrage and Triangular Opportunities):  เก็งกำไรจากความแตกต่างระหว่างราคา Cross ที่ตลาดเสนอและราคา Cross ที่คำนวณได้ตามหลักคณิตศาสตร์


ตราสารทางการเงินในกลุ่ม Cross Currency: Spot, Forwards, Swaps และ Basis


1. Spot และ Forwards

  • Spot: การแลกเปลี่ยนเงินตราทันทีตามอัตราแลกเปลี่ยนปัจจุบัน

  • Forward: ข้อตกลงแลกเปลี่ยนเงินตราในอนาคต โดยอัตราแลกเปลี่ยนถูกกำหนดตามความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างสองสกุลเงิน


2. Cross-Currency Swaps

  • Cross-Currency Swap คือข้อตกลงแลกเปลี่ยนทั้งเงินต้นและดอกเบี้ยระหว่างสองสกุลเงิน ซึ่งใช้สำหรับการระดมทุนระยะยาวหรือการป้องกันความเสี่ยงระหว่างสกุลเงินที่ไม่ใช่ USD แม้ว่า Swap จะเป็นตราสารที่มีลักษณะเฉพาะ แต่ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งของระบบ Cross Currency โดยมีอิทธิพลต่อทั้งต้นทุนการระดมทุนและพฤติกรรมการป้องกันความเสี่ยงของผู้เข้าตลาด


3. Cross-Currency Basis

  • Cross-Currency Basis คือส่วนต่าง (Spread) ที่ใช้ปรับสมดุลระหว่างอัตรา Forward ที่ได้จากทฤษฎี Covered Interest Parity (CIP) และอัตรา Forward ที่เกิดขึ้นจริงในตลาด

  • หาก Basis ไม่เท่ากับศูนย์ หมายถึงตลาดเกิดความไม่สมดุลของเงินทุน เช่น ปัญหาการขาดแคลนสกุลเงินใดสกุลเงินหนึ่งในตลาด FX Swap ความกังวลด้านความเสี่ยงของคู่สัญญา (Counterparty Credit Risk) หรือผลจากต้นทุนด้านกฎระเบียบ Cross-Currency Basis จึงถือเป็นสัญญาณสำคัญที่สะท้อนภาวะตึงตัวของสภาพคล่องในเงินดอลลาร์ (หรือสกุลเงินอื่น ๆ) ในตลาดโลก


การกำหนดราคา การประเมินมูลค่า และโครงสร้างพื้นฐานของตลาด

การกำหนดราคา การประเมินมูลค่า และโครงสร้างพื้นฐานของตลาด

1. กลไกการกำหนดราคา

การกำหนดราคา Forward ของคู่สกุลเงิน Cross Currency ขึ้นอยู่กับอัตรา Spot และส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยระหว่างสองสกุลเงิน (ผ่านค่าความต่างของ Forward Points) เมื่อธนาคารกำหนดราคา Forward หรือ Swap จะมีการรวมค่า Cross-Currency Basis เข้าไปด้วย หากตลาดมีความต้องการหรือมีส่วนเบี่ยงเบนในอัตรานั้น


2. อัตรามาตรฐานและอัตราอ้างอิง

อัตราดอกเบี้ยมาตรฐานระยะข้ามคืนและระยะยาว เช่น SOFR, €STR, TONAR, SONIA เป็นต้น จะถูกนำมาใช้ในการประเมินมูลค่าของส่วนดอกเบี้ยลอยตัว (Floating Legs) ในสัญญา Swap รวมถึงใช้ในการสร้างเส้นอัตราผลตอบแทนล่วงหน้า (Forward Curve)


3. การชำระราคาและการส่งมอบ

ธนาคารขนาดใหญ่และ CCPs (Central Counterparties) ได้ขยายระบบชำระราคา (Clearing) สำหรับตราสารอนุพันธ์อัตราดอกเบี้ยและฟอเร็กซ์ เพื่อเพิ่มความปลอดภัยของตลาด ในขณะเดียวกัน ระบบการชำระเงินข้ามสกุลเงิน เช่น CLS (Continuous Linked Settlement) มีบทบาทสำคัญในการลดความเสี่ยงจากการส่งมอบ (Settlement Risk) สำหรับธุรกรรมที่เกี่ยวข้องกับหลายสกุลเงิน


คู่สกุลเงิน Cross Currency ที่นิยมและความสัมพันธ์โดยนัยกับ USD
คู่สกุลเงิน (Cross Pair) ความสัมพันธ์กับ USD ที่ใช้ในการคำนวณ (Implied USD Legs) กรณีการใช้งานทั่วไป
EUR/JPY EUR/USD × USD/JPY ป้องกันความเสี่ยงจากสินทรัพย์ยูโรที่มีหนี้สินเป็นเงินเยน
EUR/GBP EUR/USD ÷ GBP/USD การวางตำแหน่งเชิงเปรียบเทียบระหว่างยูโรกับปอนด์สเตอร์ลิง
AUD/NZD AUD/USD ÷ NZD/USD การลงทุนในภูมิภาคออสเตรเลเซียหรือสินค้าส่งออก
GBP/CHF GBP/USD × USD/CHF แสดงมุมมองการเคลื่อนไหวระหว่างปอนด์กับฟรังก์สวิส

(หมายเหตุ: การคำนวณดังกล่าวได้มาจากการใช้คู่สกุลเงินที่อ้างอิงกับ USD เพื่อหาค่า Cross Currency โดยนัย)


ขนาดตลาด สภาพคล่อง และแนวโน้มล่าสุด

  • ตลาด Forexมีขนาดมหาศาล โดยรายงานการสำรวจสามปีของ BIS (Bank for International Settlements) ระบุว่าในเดือนเมษายน ปี 2025 มูลค่าการซื้อขายเฉลี่ยต่อวันในตลาด FX อยู่ที่ 9.6 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐ ซึ่งเพิ่มขึ้นถึง 28% เมื่อเทียบกับปี 2022

  • ดอลลาร์สหรัฐยังคงอยู่ในฝั่งใดฝั่งหนึ่งของธุรกรรมประมาณ 89% ของการซื้อขายทั้งหมด ซึ่งสะท้อนให้เห็นถึงความสำคัญอย่างต่อเนื่องของ USD แม้ว่าการซื้อขายแบบ Cross Currency จะเติบโตขึ้นก็ตาม ตัวเลขเหล่านี้ตอกย้ำว่า แม้ Cross Currency จะมีบทบาทสำคัญ แต่ดอลลาร์สหรัฐก็ยังคงเป็นศูนย์กลางที่หล่อหลอมโครงสร้างของตลาดฟอเร็กซ์ทั่วโลก

  • พฤติกรรมของ Cross-Currency Basis ได้กลายเป็นประเด็นเชิงโครงสร้างที่สำคัญในช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา โดยส่วนต่างนี้ขยายตัวอย่างรุนแรงในช่วงความผันผวนของตลาดเดือนมีนาคม ปี 2020 จากวิกฤตโควิด-19 และในช่วงหลังได้ถูกใช้เพื่ออธิบายความต้องการในการป้องกันความเสี่ยงจากการถือครองเงินดอลลาร์ในช่วงที่เงินดอลลาร์อ่อนค่าหรือขาดแคลน  ดังนั้น Cross-Currency Basis จึงทำหน้าที่ทั้งในฐานะ ตัวชี้วัดแรงกดดันด้านสภาพคล่องการระดมทุน และเป็น ตัวกำหนดราคาของคู่สกุลเงิน Cross Currency

  • การซื้อขายคู่สกุลเงิน Cross Currency ได้เปลี่ยนผ่านสู่แพลตฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์และการใช้ อัลกอริทึมในการดำเนินคำสั่งซื้อขาย (Algo Execution) มากขึ้น ขณะเดียวกันศูนย์กลางทางการเงินระดับภูมิภาค เช่น ลอนดอน โตเกียว และสิงคโปร์ ยังคงมีบทบาทสำคัญในการจัดหาสภาพคล่องให้กับตลาด

  • การเติบโตของเงินหยวนจีน (Renminbi) และการใช้งานสกุลเงินประจำภูมิภาคที่เพิ่มขึ้น ยังส่งผลให้จำนวนคู่สกุลเงิน Cross Currency ที่มีการซื้อขายอย่างต่อเนื่องเพิ่มมากขึ้นด้วย


ความเสี่ยงและการควบคุมอย่างรอบคอบในการทำธุรกรรม Cross Currency

ความเสี่ยงและการควบคุมอย่างรอบคอบในการทำธุรกรรม Cross Currency

  • ความเสี่ยงทางการตลาด:  สกุลเงินที่ไม่ใช่ดอลลาร์สหรัฐทั้งสองอาจเคลื่อนไหวอย่างอิสระจากกัน ทำให้เกิดความผันผวนสัมพัทธ์ในระดับสูง

  • ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง: คู่สกุลเงิน Cross Currency ส่วนใหญ่มีสมุดคำสั่งซื้อขายที่บางกว่าคู่สกุลเงินหลักที่มี USD เป็นองค์ประกอบ ทำให้เกิด slippage และส่วนต่างราคาซื้อ–ขาย (spread) ที่กว้างขึ้นในภาวะตลาดตึงตัว

  • ความเสี่ยงด้าน Basis และการระดมทุน: การเปลี่ยนแปลงของส่วนต่าง Cross-Currency Basis ในทิศทางไม่พึงประสงค์ อาจเพิ่มต้นทุนในการป้องกันความเสี่ยงหรือในการระดมทุน

  • ความเสี่ยงด้านสินเชื่อและคู่สัญญา: ธุรกรรม Swap หรือ Forward อาจทำให้สถาบันการเงินมีความเสี่ยงต่อการผิดนัดชำระหนี้ของคู่สัญญา หากไม่มีการชำระผ่านศูนย์กลาง (Central Clearing) หรือไม่มีหลักประกันค้ำไว้

  • ความเสี่ยงด้านปฏิบัติการและกฎหมาย: จำเป็นต้องจัดการเอกสาร เช่น ISDA Schedule และข้อตกลงหลักประกัน (Collateral Agreements) รวมถึงการประสานเวลาการชำระธุรกรรมในเขตเวลาที่แตกต่างกันอย่างรอบคอบ


แนวทางลดความเสี่ยง


  • กำหนดขีดจำกัดสภาพคล่องที่เข้มงวด (Robust Liquidity Limits)

  • ใช้ระบบชำระราคาผ่านศูนย์กลาง (Central Clearing) เมื่อสามารถทำได้

  • ใช้กลยุทธ์การป้องกันความเสี่ยงแบบพลวัต (Dynamic Hedging)

  • ติดตามและตรวจสอบ Cross-Currency Basis และเส้นอัตราผลตอบแทนจากการระดมทุน (Funding Curves) อย่างต่อเนื่อง


แนวทางปฏิบัติสำหรับเทรดเดอร์ ฝ่ายการเงิน และผู้บริหารความเสี่ยง


  1. ตรวจสอบอัตรา Cross โดยใช้การคำนวณแบบสามเหลี่ยม: ตรวจสอบอัตรา Cross ที่คำนวณได้กับราคาที่เสนอในตลาดจริง เพื่อป้องกันการเกิดราคาผิดปกติหรือโอกาสเก็งกำไรที่ไม่ถูกต้อง

  2. ติดตาม Basis อย่างใกล้ชิด (Monitor the Basis): การเปลี่ยนแปลงของ Cross-Currency Basis อาจส่งผลให้ต้นทุนของ Forward หรือ Swap เพิ่มขึ้นหรือลดลง ควรนำปัจจัยนี้เข้าสู่การทดสอบภาวะวิกฤต (Stress Test)

  3. กระจายช่องทางการซื้อขาย: ใช้หลายแหล่งสภาพคล่อง เช่น ตลาด OTC ของธนาคาร ระบบ EBS หรือ Refinitiv และแพลตฟอร์มอิเล็กทรอนิกส์อื่น ๆ เพื่อลดความเสี่ยงจากการดำเนินการในตลาดที่สภาพคล่องบาง

  4. ป้องกันความเสี่ยงแบบยืดหยุ่น: หากเป็นการเปิดสถานะชั่วคราว ควรใช้สัญญา Forward ระยะสั้นหรือสัญญาแบบ NDF (Non-Deliverable Forward) ในตลาดที่มีข้อจำกัดด้านสกุลเงิน

  5. จัดทำเอกสารและวางหลักประกัน: ตรวจสอบให้แน่ใจว่าข้อกำหนดภายใต้สัญญา ISDA และข้อตกลงหลักประกันสะท้อนรูปแบบการชำระราคาและการจัดการความเสี่ยงของคู่สัญญาอย่างเหมาะสม


แนวโน้มและประเด็นเชิงโครงสร้างที่ควรติดตามในอนาคต


  1. อิทธิพลของดอลลาร์สหรัฐที่ยังคงอยู่: แม้ปริมาณการซื้อขาย Cross Currency จะเพิ่มขึ้น แต่ดอลลาร์สหรัฐยังคงเป็นศูนย์กลางของการกำหนดราคาและการชำระธุรกรรม ทำให้สภาพคล่องของคู่ Cross มักสะท้อนสภาวะของตลาดดอลลาร์โดยตรง

  2. พฤติกรรมของ Basis ที่คงอยู่ต่อเนื่อง: ต้นทุนทางกฎระเบียบ ข้อจำกัดในงบดุลของธนาคาร และภาวะตึงตัวของตลาดเงินทุนที่เกิดขึ้นเป็นระยะ ๆ อาจทำให้ Cross-Currency Basis ยังคงเป็นปัจจัยเชิงโครงสร้างในการกำหนดราคาอย่างต่อเนื่อง

  3. เทคโนโลยีและโครงสร้างตลาด: การใช้ระบบอิเล็กทรอนิกส์และอัลกอริทึมจะช่วยลดต้นทุนการดำเนินการของคู่ Cross จำนวนมาก แต่ในช่วงวิกฤต ตลาดอาจยังคงเผชิญการหดตัวของสภาพคล่องอย่างฉับพลัน

  4. การเพิ่มขึ้นของสกุลเงินในภูมิภาค: การเพิ่มขึ้นของการใช้เงินหยวนจีน (Renminbi) และสกุลเงินประจำภูมิภาคอื่น ๆ จะช่วยเพิ่มจำนวนคู่สกุลเงิน Cross Currency ที่มีสภาพคล่องสูงในอนาคต


บทสรุป


ตลาดเงินตราข้ามสกุล (Cross Currency Market) ถือเป็นจุดบรรจบระหว่างสภาพคล่องทั่วโลก ความแตกต่างของอัตราดอกเบี้ย และพลวัตของกระแสเงินทุนระหว่างประเทศ ซึ่งไม่ได้เป็นเพียงกลไกในการกำหนดราคาเท่านั้น แต่ยังสะท้อนให้เห็นถึงวิธีที่แต่ละประเทศจัดการด้านการระดมทุน การป้องกันความเสี่ยง และการสร้างสมดุลทางเศรษฐกิจของตนให้พ้นจากอิทธิพลของเงินดอลลาร์ได้แบบเรียลไทม์


สำหรับนักลงทุนและสถาบันทางการเงิน การทำความเข้าใจความสัมพันธ์ของเงินตราข้ามสกุลไม่ใช่ทางเลือก แต่เป็นสิ่งจำเป็น ไม่ว่าจะเป็นการบริหารความเสี่ยงของพอร์ตการลงทุน การประเมินต้นทุนทางการเงิน หรือการวิเคราะห์ทิศทางของตลาด สัญญาณจากตลาดเงินตราข้ามสกุลมักบ่งบอกถึง “ความจริงของการเงินโลก” ได้เร็วกว่าข่าวสารใด ๆ


คำถามที่พบบ่อย


1. Cross Currency คืออะไร?

หมายถึงคู่สกุลเงินหรือธุรกรรมที่ไม่ได้มีเงินดอลลาร์สหรัฐ (USD) เข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น EUR/JPY


2. อัตราแลกเปลี่ยนข้ามสกุล (Cross Rate) คำนวณอย่างไร?

โดยทั่วไปจะคำนวณจากคู่เงินที่อ้างอิงกับดอลลาร์สหรัฐสองคู่ ผ่านการคำนวณแบบสามเหลี่ยม เช่น EUR/JPY = EUR/USD × USD/JPY


3. เหตุใด “ฐานเงินตราข้ามสกุล” (Cross-Currency Basis) จึงมีความสำคัญ?

เพราะเป็นตัวชี้ให้เห็นถึงความไม่สมดุลของตลาดเงินทุน และส่งผลโดยตรงต่อการกำหนดราคาในสัญญาซื้อขายล่วงหน้าและสว็อป โดยฐานที่กว้างขึ้นมักหมายถึงต้นทุนการป้องกันความเสี่ยงหรือการระดมทุนที่สูงขึ้น


4. คู่เงินข้ามสกุลใดมีสภาพคล่องสูงที่สุด?

คู่เงินที่มีการซื้อขายมากที่สุด ได้แก่ EUR/JPY, EUR/GBP, GBP/JPY และ AUD/JPY


ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ

บทความแนะนำ
การป้องกันความเสี่ยง (Hedging) ใน Forex ใช้อย่างไรให้ได้ผล
Hedging คืออะไร? เคล็ดลับจัดการความเสี่ยงเทรดเดอร์มือฉมัง
อังกฤษใช้สกุลเงินอะไร? คู่มือฉบับสมบูรณ์
แนะนำ Commodity ETF ที่เหมาะสำหรับกระจายพอร์ต
สกุลเงินแอฟริกาใต้คืออะไร? คู่มือฉบับสมบูรณ์