เผยแพร่เมื่อ: 2025-09-22
ค่า Swap Forex คือดอกเบี้ยข้ามคืนที่เทรดเดอร์จ่ายหรือได้รับ เมื่อถือครองสถานะข้ามวันหลังจากช่วงเวลาปรับสถานะ (Rollover) การมีอยู่ของ Swap ส่งผลต่อการเทรดทั้งในแง่ของการเพิ่มค่าใช้จ่าย ลดกำไร หรือแม้กระทั่งใช้เป็นส่วนหนึ่งของกลยุทธ์ระยะยาวอย่างการเทรดแบบ Carry Trade ได้
แม้แนวคิดอาจฟังดูตรงไปตรงมา แต่กลไกของ Swap ไม่ได้เป็นเพียงค่าธรรมเนียมข้ามคืนธรรมดาเท่านั้น วิธีการคำนวณ ปัจจัยที่กำหนดขนาดของ Swap และผลกระทบที่มีต่อสไตล์การเทรดแต่ละแบบ มักเป็นสิ่งที่นักลงทุนเข้าใจคลาดเคลื่อนอยู่บ่อยครั้ง
บทความนี้จะอธิบายว่า ค่า Swap ใน Forex คืออะไร วิธีการคำนวณ ความเสี่ยงที่เกี่ยวข้อง ตลอดจนแนวทางที่เทรดเดอร์สามารถจัดการ หรือแม้กระทั่งนำ Swap มาใช้ให้เกิดประโยชน์ในการเทรดได้อย่างมีประสิทธิภาพ
ในตลาด Forex สำหรับเทรดเดอร์รายย่อย ค่า Swap หรือที่บางครั้งเรียกว่า ค่า Rollover Fee คือดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายหรือได้รับจากการถือครองสถานะข้ามคืน สาเหตุเกิดจากการที่การซื้อขายสกุลเงินต้องทำเป็นคู่เสมอ และแต่ละสกุลเงินก็มีอัตราดอกเบี้ยที่กำหนดโดยธนาคารกลางที่แตกต่างกัน
หากถือครองสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า อาจได้รับดอกเบี้ย
หากถือครองสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำกว่า อาจต้องจ่ายดอกเบี้ย
ในระดับสถาบันการเงิน คำว่า Currency Swap หมายถึงข้อตกลงทางการเงินที่กว้างกว่านี้ โดยเป็นการที่สองฝ่ายตกลงแลกเปลี่ยนเงินต้นและดอกเบี้ยในสกุลเงินที่ต่างกัน และทำการแลกกลับคืนตามวันที่กำหนดในอนาคต
ข้อตกลงลักษณะนี้มักถูกใช้โดยบริษัทข้ามชาติหรือรัฐบาล เพื่อการจัดหาเงินทุนหรือการป้องกันความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
1) การถือครองข้ามคืน
หากถือสถานะเกินเวลาที่โบรกเกอร์กำหนดให้เป็นช่วง Rollover (โดยทั่วไปคือ 5 โมงเย็นตามเวลา New York) จะต้องจ่ายหรือได้รับค่า Swap
2) ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย
โบรกเกอร์จะคำนวณจากส่วนต่างของอัตราดอกเบี้ยระหว่างสองสกุลเงิน ทิศทางของสถานะ (Long หรือ Short) จะเป็นตัวกำหนดว่าเทรดเดอร์จะได้เปรียบหรือเสียเปรียบ
3) Triple Swap
เนื่องจากตลาดปิดในวันหยุดสุดสัปดาห์ โบรกเกอร์จึงมีการคิดค่า Swap หรือเครดิตแบบ “สามเท่า” กลางสัปดาห์ (มักเป็นวันพุธ) เพื่อชดเชยสองวันที่ไม่ได้ทำการซื้อขาย
Currency Swap ในระดับสถาบันการเงิน
นอกเหนือจากการเทรดรายย่อย Currency Swaps ยังเป็นเครื่องมือที่ใช้โดยธนาคาร บริษัทขนาดใหญ่ และธนาคารกลาง
โดยเป็นการแลกเปลี่ยนกระแสเงินสดในสองสกุลเงิน ซึ่งมักมีระยะเวลาหลายปี ตัวอย่างเช่น บริษัทที่มีภาระหนี้สินเป็นดอลลาร์ แต่มีรายได้เป็นยูโร อาจใช้ Currency Swap เพื่อจัดการให้กระแสเงินสดสอดคล้องกัน และลดความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงิน
1) Overnight Swap (Rollover Fee)
รูปแบบที่พบบ่อยที่สุดสำหรับนักเทรดรายย่อย คิดค่าธรรมเนียมเป็นรายวัน
2) Currency Swap (ข้อตกลงแลกเปลี่ยนสกุลเงิน)
ใช้ในตลาดการเงินขนาดใหญ่ เป็นข้อตกลงระยะยาวที่เกี่ยวข้องกับการแลกเปลี่ยนเงินต้นและดอกเบี้ย
3) บัญชี Swap-Free
โบรกเกอร์บางรายเสนอทางเลือกนี้ โดยเปลี่ยนจากการคิดดอกเบี้ยข้ามคืนเป็นค่าธรรมเนียมคงที่ เพื่อตอบสนองข้อกำหนดทางศาสนาหรือสำหรับผู้ที่ไม่ต้องการเสียค่าใช้จ่ายในรูปแบบดอกเบี้ย
ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย – หัวใจหลักของการคำนวณค่า Swap
นโยบายของโบรกเกอร์ – บางรายบวกค่าธรรมเนียมเพิ่มเติม ทำให้อัตรา Swap แตกต่างกันไป
ขนาดและทิศทางของการเทรด – ยิ่งสถานะใหญ่ ค่า Swap ก็ยิ่งมาก ทั้งในเชิงต้นทุนหรือรายรับ
สภาวะตลาด – การตัดสินใจของธนาคารกลางและสภาพคล่องมีผลโดยตรงต่อค่า Swap
ค่า Swap ไม่ได้ถูกกำหนดแบบสุ่ม โบรกเกอร์ส่วนใหญ่จะเผยแพร่อัตรา Swap รายวัน และมักมีเครื่องมือคำนวณเพื่อให้เทรดสามารถประเมินค่าใช้จ่ายล่วงหน้า สูตรคำนวณโดยทั่วไปจะพิจารณาจากส่วนต่างอัตราดอกเบี้ย มูลค่าที่ตราไว้ของสถานะ และจำนวนวันที่ถือครอง
ตัวอย่าง:
หากเปิดสถานะซื้อในคู่สกุลเงินที่สกุลเงินฐานมีอัตราดอกเบี้ย 5% ขณะที่สกุลเงินอ้างอิงมีอัตรา 2% อาจได้รับเครดิตหลังจากหักค่าปรับจากโบรกเกอร์ แต่หากกลับสถานะ อาจต้องเผชิญกับการถูกหักค่าใช้จ่ายแทน
แนวทางจัดการต้นทุนค่า Swap
เลือกคู่สกุลเงินอย่างชาญฉลาด: มองหาคู่ที่ส่วนต่างดอกเบี้ยเอื้อประโยชน์
ปิดสถานะก่อนช่วง Rollover: เทรดเดอร์รายวันมักใช้วิธีนี้เพื่อลดค่าใช้จ่ายข้ามคืน
ใช้บัญชี Swap-Free: เลือกรูปแบบค่าธรรมเนียมคงที่หรือทางเลือกอื่นแทนดอกเบี้ย
ความคาดหวังที่ผิดพลาด: เทรดเดอร์หลายคนคาดว่าจะได้รับเครดิต แต่กลับพบว่าค่าธรรมเนียมสูงกว่ากำไร
นโยบายโบรกเกอร์ไม่โปร่งใส: แต่ละโบรกเกอร์มีวิธีคิด Swap แตกต่างกัน ควรตรวจสอบเงื่อนไขอย่างรอบคอบ
การเปลี่ยนแปลงทางเศรษฐกิจ: การปรับอัตราดอกเบี้ยสามารถเปลี่ยน Swap ที่เป็นบวกให้กลายเป็นลบได้ภายในคืนเดียว
ภาพลวงตาของการทำ Carry Trade: แม้ Swap จะเป็นบวก แต่หากมูลค่าของสกุลเงินลดลง กำไรอาจหายไปจนหมด
ค่า Swap ไม่ได้เป็นเพียงปัจจัยเบื้องหลัง แต่มีบทบาทสำคัญที่ส่งผลโดยตรงต่อกลยุทธ์การเทรด
1) Carry Trade
เทรดเดอร์กู้ยืมเงินในสกุลที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ เพื่อนำไปลงทุนในสกุลที่ให้อัตราดอกเบี้ยสูง ค่า Swap กลายเป็นรายได้ แต่ความเสี่ยงอยู่ที่ความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน
2) การป้องกันความเสี่ยงของบริษัท (Corporate Hedging)
ภาคธุรกิจใช้ Swap ระยะยาวเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของค่าเงิน
3) การเก็งกำไร (Speculation)
เทรดเดอร์บางรายพยายามทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงความคาดหวังต่ออัตราดอกเบี้ย ไม่ใช่เพียงการเคลื่อนไหวของราคา
1. ค่า Swap สามารถเป็นบวกได้หรือไม่?
ได้ หากถือสถานะซื้อ (Long) ในสกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยสูงกว่า และขาย (Short) สกุลเงินที่มีอัตราดอกเบี้ยต่ำ ส่วนต่างอัตราดอกเบี้ยอาจทำให้ได้รับเครดิตสุทธิ
2. ค่า Swap ถูกคิดเมื่อใด?
โดยทั่วไปจะถูกคิดในช่วง Rollover ซึ่งเวลาขึ้นอยู่กับแต่ละโบรกเกอร์ แต่ส่วนใหญ่มักอยู่ที่เวลา 5 โมงเย็นตามเวลา New York
3. บัญชี Swap-Free คืออะไร?
คือประเภทบัญชีที่ไม่มีการคิดดอกเบี้ยข้ามคืน ไม่ว่าจะในรูปแบบจ่ายหรือรับ มักออกแบบมาเพื่อตอบสนองผู้ที่ยึดหลักการเงินอิสลาม อย่างไรก็ตาม โบรกเกอร์อาจมีการเก็บค่าธรรมเนียมรูปแบบอื่นแทน
4. ควรรวมค่า Swap ไว้ในแผนการเทรดอย่างไร?
ควรนำมาพิจารณาในกลยุทธ์ระยะยาว ตรวจสอบอัตราค่า Swap เป็นประจำทุกวัน ใช้เครื่องมือคำนวณของโบรกเกอร์ และติดตามประกาศอัตราดอกเบี้ยจากธนาคารกลาง สำหรับการเทรดระยะสั้น การหลีกเลี่ยงการถือสถานะข้ามคืนอาจคุ้มค่ากว่า
แม้ค่า Swap อาจดูเหมือนค่าธรรมเนียมเล็กน้อย แต่แท้จริงแล้วมีความสำคัญ หากละเลยอาจกัดกร่อนกำไรอย่างต่อเนื่อง แต่หากใช้เชิงกลยุทธ์ก็สามารถกลายเป็นแหล่งรายได้ที่มั่นคงได้
การเข้าใจวิธีคำนวณค่า Swap การตรวจสอบนโยบายโบรกเกอร์ และการบูรณาการเข้ากับแผนการเทรด จะช่วยให้คุณเปลี่ยนรายละเอียดเล็ก ๆ ที่มักถูกมองข้าม ให้กลายเป็นส่วนสำคัญของเส้นทางการเทรด Forex ได้
ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีเจตนา (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ
