ราคาน้ำมันตกในปี 2025 แตกต่างจากวิกฤตครั้งก่อนหรือไม่? ค้นหาคำตอบว่าครั้งนี้รุนแรงแค่ไหนเมื่อเทียบกับอดีต และมีความหมายอย่างไรต่อบรรดานักลงทุน
ราคาน้ำมันมีประวัติความผันผวนอย่างรุนแรงมาอย่างยาวนาน โดยมีทั้งช่วงเฟื่องฟูและตกต่ำที่พลิกโฉมเศรษฐกิจและตลาดทั่วโลก ตั้งแต่วิกฤตพลังงานในทศวรรษ 1970 ไปจนถึงภาวะราคาตกต่ำล่าสุดในปี 2025 ซึ่งล้วนมีสาเหตุจากแรงกระแทกด้านอุปสงค์ ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ ภาวะอุปทานล้นตลาด และความปั่นป่วนทางเศรษฐกิจมหภาค
บทความนี้จะพาผู้อ่านสำรวจวิกฤตราคาน้ำมัน 5 ครั้งสำคัญ พร้อมเจาะลึกสถานการณ์ในปี 2025 และเปรียบเทียบกับเหตุการณ์ในอดีตอย่างใกล้ชิด
สถานการณ์ในปัจจุบัน
ในเดือนเมษายน 2025 ราคาน้ำมันเบรนท์ร่วงลงสู่ประมาณ 65 ดอลลาร์สหรัฐฯ ต่อบาร์เรล สาเหตุหลักมาจากการเพิ่มปริมาณการผลิตของกลุ่ม OPEC+ ความต้องการที่ซบเซาจากภาวะเศรษฐกิจโลกชะลอตัว และปัจจัยรบกวนจากภูมิรัฐศาสตร์ ต่อมาในเดือนพฤษภาคม ความต้องการน้ำมันจากจีนที่ยังคงอ่อนแอ ประกอบกับปริมาณน้ำมันคงคลังที่เพิ่มขึ้น ได้สร้างแรงกดดันต่อราคาน้ำมันเพิ่มเติม
ปัจจุบัน ราคาน้ำมันเบรนท์และ WTI ยังคงอยู่ในระดับสูงราว ๆ 60 ดอลลาร์ปลาย ๆ ขณะที่ตลาดฟิวเจอร์สอยู่ในภาวะ “Contango”
ปัจจัยหลักที่ส่งผลกระทบ
การเพิ่มขึ้นของอุปทาน : การผลิตน้ำมันจากกลุ่ม OPEC+ และประเทศนอกกลุ่ม ส่งผลให้ปริมาณน้ำมันทั่วโลกเพิ่มขึ้นถึง 1.6 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2025 และคาดว่าจะเพิ่มอีก 0.97 ล้านบาร์เรลต่อวันในปี 2026
ความต้องการที่หยุดชะงัก : การเติบโตของความต้องการน้ำมันลดลงเหลือเพียงประมาณ 650,000 บาร์เรลต่อวัน ซึ่งเป็นระดับต่ำที่สุดนับตั้งแต่ต้นทศวรรษ 2000
แนวโน้มสหรัฐฯ และ EIA : คาดว่าการผลิตน้ำมันดิบของสหรัฐฯ จะเริ่มลดลงหลังไตรมาส 2 ปี 2026 แต่ปริมาณน้ำมันสำรองจะยังคงเพิ่มขึ้น ส่งผลให้ราคาน้ำมันยังถูกกดดัน
เส้นโค้งฟิวเจอร์ส : ตลาดน้ำมันอยู่ในภาวะ Contango ซึ่งเป็นสัญญาณเชิงลบ โดยราคาฟิวเจอร์สสูงกว่าราคาสปอต ส่งผลให้ผู้ค้าจูงใจในการกักเก็บน้ำมันเพื่อขายในอนาคต
ปีที่เกิดวิกฤต | สาเหตุหลัก | การเปลี่ยนแปลงราคา | ระยะเวลาวิกฤตและการฟื้นตัว |
---|---|---|---|
1973, 1979-80 | มาตรการห้ามส่งออกของOPEC, การปฏิวัติ | เพิ่ม → ลด ~ 60% | ภาวะตกต่ำหลายปี การฟื้นตัวช้า |
1986 (ภาวะน้ำมันล้นตลาด) | อุปสงค์ตกต่ำ, อุปทานล้นตลาด | ลด ~ 60% (27 → 10 ดอลลาร์) | ใช้เวลา 5–6 ปีในการฟื้นตัว |
1990 (สงครามอ่าว) | ความขัดแย้งทางภูมิรัฐศาสตร์ | ราคาพุ่ง 100% → ลดลง 33% ทันที | ฟื้นตัวภายในไม่กี่เดือน |
2008 (วิกฤตการเงิน) | ความต้องการทรุด, ตื่นตระหนกทางการเงิน | 145 → 32 ดอลลาร์ | ใช้เวลา 4–5 ปีในการฟื้นตัว |
2020 (โควิด-19) | สงครามราคาน้ำมัน + การล็อคดาวน์ | WTI ต่ำสุดถึง – 37 ดอลลาร์ | ฟื้นตัวในช่วงปลายปี 2020 |
2025 (ภาวะเศรษฐกิจตกต่ำ) | ความต้องการชะลอตัว + OPEC + เพิ่มการผลิต | เบรนท์ใกล้ 65 ดอลลาร์ (ลด ~ 25%) | ยังไม่ฟื้นเต็มที่; EIA คาดในกรอบ 59–66 ดอลลาร์ |
1. วิกฤตพลังงานในทศวรรษ 1970: OPEC และภาวะอุปทานตกต่ำ
วิกฤตปี 1973
วิกฤตราคาน้ำมันยุคใหม่ครั้งแรกเริ่มในปี 1973 เมื่อ OPEC ใช้มาตรการห้ามส่งออก ทำให้ราคาน้ำมันพุ่งขึ้นมากกว่าสี่เท่า แต่ภายในเวลาเพียงหนึ่งปี ความต้องการทั่วโลกลดลงและพลังงานทางเลือกเริ่มเข้ามาแทนที่ ส่งผลให้ราคาน้ำมันเข้าสู่แนวโน้มลดลงต่อเนื่องหลายปี
วิกฤตปี 1979–1980
การปฏิวัติในอิหร่านกระตุ้นให้เกิดแรงกระแทกด้านอุปทานอีกครั้ง ส่งผลให้ราคาน้ำมันพุ่งสูง จากนั้นไม่นาน OPEC ผลิตเกินความต้องการ และประเทศนอกกลุ่มก็เพิ่มกำลังการผลิต ทำให้ราคาน้ำมันร่วงลงจากระดับ 39 ดอลลาร์ในช่วงกลางทศวรรษ 1980
บทเรียนสำคัญ: ราคาน้ำมันที่พุ่งจากปัจจัยภูมิรัฐศาสตร์สามารถถูกฉุดกลับลงได้เมื่อมีแหล่งอุปทานใหม่เข้าสู่ตลาด
2. ภาวะน้ำมันล้นตลาดในทศวรรษ 1980
หลังความปั่นป่วนในทศวรรษก่อน การบริโภคน้ำมันทั่วโลกลดลง ขณะที่อุปทานจากประเทศนอก OPEC เพิ่มขึ้นในช่วงปี 1982–1986 ส่งผลให้ราคาน้ำมันลดจากกว่า 27 ดอลลาร์เหลือไม่ถึง 10 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในปี 1986 วิกฤตครั้งนี้เป็นผลจากโครงสร้างอุปสงค์ที่จำกัด การพัฒนาประสิทธิภาพพลังงาน และกำลังการผลิตที่เพิ่มขึ้น
3. วิกฤตจากสงครามอ่าวในปี 1990
การรุกรานคูเวตโดยอิรักทำให้ราคาน้ำมันพุ่งจาก 17 เป็น 36 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในเวลาไม่กี่เดือน แต่หลังจากความขัดแย้งยุติ ราคาน้ำมันก็ดิ่งลง 33% แทบจะทันที ซึ่งเป็นตัวอย่างคลาสสิกของความตื่นตระหนกด้านอุปทานที่จบลงอย่างรวดเร็ว
4. วิกฤตการเงินโลกในปี 2008
ราคาน้ำมันพุ่งแตะระดับสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ประมาณ 145 ดอลลาร์ในเดือนกรกฎาคม 2008 จากความต้องการทั่วโลกที่ร้อนแรงและแรงเก็งกำไร แต่ภายหลังเกิดวิกฤตการเงินโลก ราคาก็ร่วงลงเหลือเพียง 32 ดอลลาร์ภายในสิ้นปี
ลักษณะเด่น : อุปสงค์ที่เพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็วและความล้มเหลวอย่างรุนแรงตามมาด้วยการล่มสลายอย่างรุนแรง ส่งผลให้ราคาลดลงภายในไม่กี่เดือน
5. วิกฤตโควิด-19 ในปี 2020
ในช่วงต้นปี 2020 ซาอุดีอาระเบียและรัสเซียเปิดสงครามราคาน้ำมัน ในขณะที่ทั่วโลกล็อกดาวน์จากโควิด-19 ทำให้ความต้องการพลังงานหายวับไป ราคาน้ำมัน WTI ติดลบเป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ถึง -37 ดอลลาร์ในเดือนเมษายน เนื่องจากขาดแคลนพื้นที่จัดเก็บ ซึ่งถือเป็นเหตุการณ์ที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในประวัติศาสตร์
ภาวะเงินฝืดหรือวิกฤตพื้นที่จัดเก็บ?
โดยต่างจากปี 2020 ที่น้ำมันมีปัญหาสต็อกล้นจนราคาติดลบ ปี 2025 ยังไม่มีสัญญาณแบบนั้น และยังไม่มีการคาดการณ์ว่าจะเกิดการลดความต้องการอย่างรุนแรง แต่ภาวะอุปทานล้นตลาดและการเติบโตที่อ่อนแอคล้ายกับวิกฤตน้ำมันล้นตลาดในยุค 1980 เพียงแต่วิกฤตในปีนี้ดูจะเบากว่า
ภาพรวมการคาดการณ์
สำนักงานสารสนเทศพลังงานสหรัฐฯ (EIA) คาดว่า ราคาน้ำมันเบรนท์จะเฉลี่ยอยู่ที่ 66 ดอลลาร์ในปลายปี 2025 และลดลงเหลือ 59 ดอลลาร์ในปี 2026 ส่วนราคาน้ำมัน WTI คาดว่าจะลดลงด้วย JP Morgan ประเมินราคาใกล้เคียงกัน (~ 66/58 ดอลลาร์) ขณะที่ HSBC เตือนถึงปริมาณน้ำมันล้นตลาดที่อาจเกิดขึ้นในปี 2026-27 Goldman คาดการณ์ว่าราคาน้ำมันดิบเบรนท์จะต่ำกว่า 40 ดอลลาร์ ท่ามกลางความเสี่ยงต่อภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ปัจจัยสนับสนุน
การผลิตน้ำมันของสหรัฐที่คาดว่าจะลดลงตั้งแต่ปี 2026 อาจช่วยลดแรงกดดันด้านอุปทาน
ความต้องการในช่วงฤดูร้อนและความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์ เช่น ความขัดแย้งระหว่างอิหร่านกับสหรัฐฯ อาจช่วยหนุนราคาให้อยู่ใกล้ 70 ดอลลาร์
ความเสี่ยง
การเพิ่มกำลังการผลิตของกลุ่ม OPEC+ โดยเฉพาะหากยกเลิกการลดกำลังผลิตแบบสมัครใจ
ปัจจัยกดดันจากเศรษฐกิจโลกและความตึงเครียดทางการค้าทำให้ความต้องการลดลง
การขยายตัวของรถยนต์ไฟฟ้าที่ช้า ยังเป็นปัจจัยกดดันความต้องการใช้น้ำมัน
แนวโน้มระยะกลาง
การคาดการณ์แสดงให้เห็นว่าราคาเบรนท์มีแนวโน้มจะอยู่ที่ระดับ 60-65 ดอลลาร์ภายในปี 2026 และมีความเป็นไปได้ที่ราคาจะตกต่ำลงเหลือกว่า 50 ดอลลาร์ หากเศรษฐกิจโลกชะลอตัวอย่างรุนแรง
โดยสรุปแล้ว ภาวะราคาน้ำมันที่ปรับตัวลงในปี 2025 เป็นตัวอย่างของการชะลอตัวที่เกิดจากฝั่งอุปทานอย่างชัดเจน ซึ่งมีสาเหตุมาจากการผลิตที่เติบโตอย่างรวดเร็ว ขณะที่ความต้องการกลับอ่อนแรง แม้จะไม่รุนแรงเท่ากับวิกฤตราคาน้ำมันในปี 2020 แต่สถานการณ์ครั้งนี้ก็สะท้อนลักษณะคล้ายกับภาวะน้ำมันล้นตลาดในยุค 1980
ในขณะที่ปริมาณน้ำมันคงคลังยังคงเพิ่มขึ้น และตลาดฟิวเจอร์สแสดงท่าทีเป็นขาลง นักวิเคราะห์อย่าง EIA และสถาบันอื่น ๆ คาดว่าราคาน้ำมันจะทรงตัวอยู่ในช่วงกลางถึงต่ำของระดับ 60 ดอลลาร์ต่อบาร์เรลในปี 2026
คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ
USD/CAD พุ่งขึ้นใกล้เส้น EMA 20 วัน เนื่องจากความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยช่วยหนุนค่าเงินดอลลาร์ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และการเจรจาการค้าส่งผลต่อความรู้สึกของตลาด
2025-06-19ต้องการซื้อขายแบบ breakout ให้ประสบความสำเร็จหรือไม่ เรียนรู้วิธีการ breakout และทดสอบซ้ำที่มืออาชีพใช้เพื่อรับการซื้อขายที่มีความน่าจะเป็นสูงพร้อมความเสี่ยงที่ลดลง
2025-06-19สำรวจตัวบ่งชี้ปริมาณอันทรงพลัง 5 ตัว ได้แก่ OBV, VWAP, A/D Line, CMF และ Volume Profile เพื่อปรับปรุงการยืนยันแนวโน้มและจังหวะเวลาการซื้อขาย
2025-06-19