เมื่อคุณทำการเทรดน้ำมันออปชั่น เทียบกับน้ำมันฟิวเจอร์ สิ่งสำคัญอันดับแรกคือการทำความเข้าใจคุณสมบัติหลักของแต่ละเครื่องมือให้ชัดเจน
น้ำมันฟิวเจอร์ (Oil Futures) คือสัญญาที่กำหนดให้ผู้ซื้อมีหน้าที่ต้องซื้อ หรือผู้ขายต้องขายน้ำมันดิบในปริมาณที่ระบุไว้ล่วงหน้า ณ ราคาที่ตกลงกันไว้ ในวันส่งมอบในอนาคต ข้อผูกพันนี้หมายความว่า ฟิวเจอร์มีโอกาสทำกำไรหรือขาดทุนสูง ขึ้นอยู่กับทิศทางการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันในตลาด
ฟิวเจอร์มักเป็นเครื่องมือที่เข้าใจได้ตรงไปตรงมา และได้รับความนิยมจากนักเทรดที่ต้องการทำกำไรจากการเปลี่ยนแปลงของราคาน้ำมันโดยตรง Leverage ที่มีในฟิวเจอร์สามารถช่วยเพิ่มผลกำไรได้อย่างมาก แต่ในขณะเดียวกันก็สามารถขยายขาดทุนได้เช่นกัน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องมีการบริหารความเสี่ยงอย่างมีวินัย
Opton น้ำมัน คืออะไร และทำงานอย่างไร?

ในทางตรงกันข้าม ออปชั่นน้ำมัน (Oil Options) ให้นักเทรดมีสิทธิ์ แต่ไม่ใช่ข้อผูกพัน ในการซื้อหรือขายฟิวเจอร์น้ำมันในราคาที่กำหนดไว้ ภายในระยะเวลาก่อนวันหมดอายุที่ระบุไว้ คุณลักษณะนี้ทำให้ออปชั่นมีความยืดหยุ่นมากกว่าฟิวเจอร์ เมื่อคุณเปรียบเทียบการเทรดออปชั่นน้ำมันกับฟิวเจอร์น้ำมัน ข้อได้เปรียบที่สำคัญที่สุดอย่างหนึ่งของออปชั่นคือความสามารถในการควบคุมความเสี่ยง
การขาดทุนสูงสุดในการเทรดออปชั่นจะถูกจำกัดอยู่แค่ที่เบี้ยประกันภัย (premium) ที่จ่ายไปเท่านั้น ในขณะที่ฟิวเจอร์อาจทำให้นักเทรดขาดทุนได้ไม่จำกัดเกินกว่าหลักประกันเริ่มต้น (initial margin) ออปชั่นยังสามารถใช้เป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง (hedge) สำหรับสถานะในฟิวเจอร์ที่มีอยู่ หรือใช้เพื่อเก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคา โดยมีความเสี่ยงขาลงที่จำกัด
ต้นทุนที่เกี่ยวข้องเมื่อคุณเทรดออปชั่นน้ำมันเทียบกับฟิวเจอร์
อีกปัจจัยสำคัญที่ควรพิจารณาเมื่อเลือกเทรดออปชั่นน้ำมันหรือฟิวเจอร์คือโครงสร้างของต้นทุน ฟิวเจอร์มักต้องการเงินมาร์จิ้น (margin) ซึ่งทำหน้าที่เป็นเงินประกัน และต้องรักษาให้อยู่ในระดับที่กำหนดขณะที่ตลาดมีความผันผวน หากตลาดเคลื่อนไหวในทิศทางที่ไม่เอื้ออำนวย นักเทรดอาจต้องเติมเงินเข้าบัญชีมาร์จิ้นเพิ่มเติม
ในทางตรงกันข้าม เมื่อเทรดออปชั่นน้ำมัน ต้นทุนเบื้องต้นคือเบี้ยประกันภัย (premium) ที่จ่ายสำหรับสัญญาออปชั่นเท่านั้น โดยไม่มีข้อกำหนดเรื่องมาร์จิ้นเพิ่มเติม อย่างไรก็ตาม การกำหนดราคาของออปชั่นจะได้รับผลกระทบจากปัจจัยเพิ่มเติม เช่น ความผันผวนโดยนัย (implied volatility) และการเสื่อมค่าของเวลา (time decay) ซึ่งอาจทำให้การประเมินมูลค่ายากขึ้น
ความเสี่ยงและผลตอบแทน: แตกต่างกันอย่างไร?
โปรไฟล์ความเสี่ยงระหว่างออปชั่นน้ำมันกับฟิวเจอร์นั้นแตกต่างกันอย่างชัดเจน เมื่อคุณเทรดออปชั่นน้ำมันเทียบกับฟิวเจอร์ สิ่งสำคัญที่ต้องจำไว้คือ ฟิวเจอร์มีความเสี่ยงสูงกว่า เนื่องจากเป็นสัญญาที่มีข้อผูกพันในการซื้อหรือขายสินค้าพื้นฐานตามราคาที่กำหนด ซึ่งหมายความว่า แม้ฟิวเจอร์สามารถสร้างผลกำไรได้มากหากคุณวิเคราะห์ตลาดได้ถูกต้อง แต่ก็สามารถขาดทุนได้อย่างรวดเร็วหากราคาขยับสวนทางกับตำแหน่งที่ถือไว้
ในทางกลับกัน ออปชั่นมีลักษณะคล้ายประกันภัย ที่เปิดโอกาสให้คุณมีส่วนร่วมในทิศทางราคาที่เป็นบวก ในขณะที่จำกัดขาดทุนไว้สูงสุดเพียงแค่เบี้ยประกันที่จ่ายไป นี่จึงทำให้ออปชั่นเหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการความปลอดภัยมากขึ้น หรือผู้ที่ต้องการป้องกันความเสี่ยงจากตำแหน่งฟิวเจอร์ที่มีอยู่แล้ว
ความยืดหยุ่นและกลยุทธ์การเทรด
ความยืดหยุ่นถือเป็นข้อได้เปรียบสำคัญเมื่อคุณเทรดออปชั่นน้ำมันเทียบกับฟิวเจอร์ สัญญาฟิวเจอร์มีความเรียบง่ายและตรงไปตรงมา แต่มีข้อจำกัดในด้านกลยุทธ์การลงทุน ขณะที่ออปชั่นเปิดโอกาสให้ใช้กลยุทธ์หลากหลาย เช่น การซื้อสิทธิ์ซื้อ (calls), สิทธิ์ขาย (puts), กลยุทธ์สเปรด (spreads), สตราเดิล (straddles) และคอลาร์ (collars) ซึ่งสามารถปรับให้เข้ากับมุมมองต่อตลาดและระดับความเสี่ยงที่ยอมรับได้
ตัวอย่างเช่น ออปชั่นสามารถนำมาใช้เพื่อสร้างกำไรจากตลาดที่เคลื่อนไหวในกรอบแคบ หรือจากความผันผวนที่เพิ่มขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ทำได้ยากด้วยฟิวเจอร์เพียงอย่างเดียว นักเทรดที่เข้าใจกลยุทธ์เหล่านี้จะพบว่า ออปชั่นช่วยเพิ่มมิติและความลึกให้กับเครื่องมือในการเทรดของตนได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สภาวะตลาดมีอิทธิพลต่อการเลือกของคุณ
สภาพแวดล้อมของตลาดมีบทบาทสำคัญอย่างมากในการตัดสินใจว่าจะเทรดออปชั่นน้ำมันหรือฟิวเจอร์ดี ในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง ออปชั่นน้ำมันมักเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจกว่า เนื่องจากสามารถใช้ป้องกันความเสี่ยงได้ และยังเปิดโอกาสทำกำไรผ่านกลยุทธ์ที่หลากหลาย
ในทางกลับกัน เมื่อราคาน้ำมันมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในทิศทางที่ชัดเจนและต่อเนื่อง ฟิวเจอร์มักเป็นเครื่องมือที่นักเทรดเลือกใช้ เพราะสามารถเก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาโดยไม่ต้องเสียค่า Premium เหมือนออปชั่น ดังนั้น การประเมินสภาวะตลาดในปัจจุบันและมุมมองของคุณต่อทิศทางในอนาคตจึงเป็นสิ่งสำคัญอย่างยิ่งในการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ใดผลิตภัณฑ์หนึ่งระหว่างออปชั่นกับฟิวเจอร์
ตราสารใดที่เหมาะกับโปรไฟล์การเทรดของคุณ?
สไตล์การเทรดส่วนตัวและระดับความยอมรับความเสี่ยงของคุณมีความสำคัญอย่างยิ่งในการตัดสินใจว่า ควรเลือกเทรดออปชั่นน้ำมันหรือฟิวเจอร์ดี หากคุณสบายใจกับความเสี่ยงและต้องการเข้าถึงการเคลื่อนไหวของราคาน้ำมันดิบอย่างตรงไปตรงมา ฟิวเจอร์อาจเหมาะกับคุณมากกว่า เพราะมีความเรียบง่าย และให้การเข้าถึงตลาดสินค้าโภคภัณฑ์โดยตรง แต่ต้องมีวินัยในการบริหารความเสี่ยงอย่างเข้มงวด
ในทางตรงกันข้าม หากคุณต้องการจำกัดขาดทุนที่อาจเกิดขึ้น และต้องการใช้กลยุทธ์ที่ซับซ้อนมากขึ้น ออปชั่นอาจเป็นทางเลือกที่เหมาะกว่า เทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์หลายคนเลือกใช้ทั้งสองเครื่องมือควบคู่กัน โดยใช้ออปชั่นเพื่อป้องกันความเสี่ยงจากฟิวเจอร์ หรือเพื่อเก็งกำไรจากความผันผวนของตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป
ข้อควรพิจารณาและการดำเนินการในทางปฏิบัติ

เมื่อคุณเทรดออปชั่นน้ำมันเทียบกับฟิวเจอร์ ปัจจัยในทางปฏิบัติอย่างขนาดสัญญา สภาพคล่อง และวันหมดอายุก็มีบทบาทสำคัญเช่นกัน สัญญาฟิวเจอร์มักมีขนาดสัญญาและรอบหมดอายุที่เป็นมาตรฐาน ทำให้สามารถซื้อขายได้ง่ายในตลาดหลัก ๆ
ในขณะที่ออปชั่นก็มีมาตรฐานเช่นกัน แต่จะมีหลายราคาใช้สิทธิ (strike price) และเดือนหมดอายุให้เลือก ซึ่งอาจเพิ่มความซับซ้อนในการเลือกสัญญาที่เหมาะสม สภาพคล่องโดยทั่วไปถือว่าดีทั้งสองแบบ แต่ฟิวเจอร์มักจะมีส่วนต่างราคาซื้อขาย (spread) ที่แคบกว่าเนื่องจากความนิยมมากกว่า ปัจจัยเหล่านี้ส่งผลต่อต้นทุนในการทำธุรกรรมและความสะดวกในการเข้า–ออกสถานะในตลาด
สรุป
โดยสรุป การตัดสินใจว่าจะเทรดออปชั่นน้ำมันหรือฟิวเจอร์ ควรตั้งอยู่บนพื้นฐานของความเข้าใจอย่างชัดเจนเกี่ยวกับเป้าหมายการลงทุนของคุณ ความสามารถในการรับความเสี่ยง และลักษณะเฉพาะของแต่ละเครื่องมือ ฟิวเจอร์ให้วิธีการที่ตรงและมีเลเวอเรจสูงในการเข้าถึงราคาน้ำมันดิบ แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงที่สูงกว่า
ในทางกลับกัน ออปชั่นมีความยืดหยุ่นและความเสี่ยงที่จำกัด เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการบริหารความเสี่ยงหรือเก็งกำไรโดยสามารถจำกัดการขาดทุนได้ ทั้งสองเครื่องมือล้วนมีบทบาทในกลยุทธ์การเทรดที่ครอบคลุม และการรู้ว่าควรใช้เครื่องมือใดในสถานการณ์ใด ถือเป็นกุญแจสำคัญสู่ความสำเร็จในการเทรดน้ำมัน
คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ