สำรวจ 10 อันดับ กองทุนรวมผลตอบแทนดีกว่าดัชนี S&P 500 ศึกษาว่ากองทุนใดมีผลงานดีในระยะยาว และทำไมกองทุนเหล่านี้จึงมีความโดดเด่น
S&P 500 เป็นดัชนีชี้วัดผลตอบแทนของหุ้นในสหรัฐฯ มาอย่างยาวนาน โดยให้ผลตอบแทนเฉลี่ยประมาณ 10% ต่อปี อย่างไรก็ตาม การทำผลตอบแทนให้ดีกว่าดัชนีนี้อย่างต่อเนื่องนั้นยากกว่า
ในปี 2024 มีเพียงประมาณ 10.5% ของกองทุนหุ้นขนาดใหญ่ที่มีการจัดการแบบ active เท่านั้น ที่สามารถทำผลตอบแทนได้สูงกว่าผลตอบแทนของ S&P 500 ที่อยู่ที่ 24%
แม้จะมีโอกาสน้อยเช่นนี้ แต่ก็ยังมีกองทุนรวมผลตอบแทนดี หลายกองทุนที่มีผลการดำเนินงานที่โดดเด่น และทำผลตอบแทนได้เหนือกว่า S&P 500 อย่างต่อเนื่อง
1. Baron Partners Fund (BPTRX)
ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีในช่วง 5 ปี: ประมาณ 20%
อัตราค่าธรรมเนียมการจัดการ: 1.55%
เงินลงทุนขั้นต่ำ: $2,000
กองทุน Baron Partners Fund บริหารโดยนักลงทุนที่มีชื่อเสียงอย่าง Ron Baron ซึ่งสามารถทำผลตอบแทนได้สูงถึง 1,843% นับตั้งแต่ปี 2003 ซึ่งสูงกว่าผลตอบแทนของดัชนี S&P 500 ที่อยู่ที่ 536% ในช่วงเวลาเดียวกัน ความสำเร็จของกองทุนนี้มาจากกลยุทธ์การลงทุนระยะยาวที่เน้นไปที่บริษัทที่มีศักยภาพการเติบโตอย่างมาก
ที่น่าสนใจคือ กองทุนนี้ถือหุ้น Tesla ในสัดส่วนถึง 35% ของพอร์ตโฟลิโอ ซึ่งสะท้อนถึงมุมมองเชิงบวกของ Ron Baron ต่ออนาคตของบริษัทนี้
2. T. Rowe Price Science & Technology Fund (PRSCX)
ผลตอบแทนปี 2024 : 40.3%
อัตราค่าธรรมเนียมการจัดการ: 0.76%
เงินลงทุนขั้นต่ำ: $2,500
กองทุน T. Rowe Price Science & Technology มีผลงานดีกว่าดัชนี S&P 500 อย่างมากในปี 2024 โดยให้ผลตอบแทน 40.3% เมื่อเทียบกับดัชนีที่ 23% ผู้จัดการกองทุน Anthony Wang มองว่าความสำเร็จนี้เกิดจากการลงทุนเชิงกลยุทธ์ในโครงสร้างพื้นฐาน AI และบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านเทคโนโลยี เช่น Meta, Alphabet, Microsoft, Apple และ Nvidia
กองทุนนี้เน้นการเติบโตของกำไร การประเมินมูลค่า และคุณภาพของหุ้น ทำให้เป็นหนึ่งในกองทุนที่ทำผลงานได้ดีในกลุ่มเทคโนโลยี
3. Permanent Portfolio Aggressive Growth Portfolio
ผลตอบแทนปี 2024 : 28%
ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี 10 ปี: 13.28%
อัตราค่าธรรมเนียมการจัดการ: 0.89%
เงินลงทุนขั้นต่ำ: $1,000
กองทุน Permanent Portfolio Aggressive Growth Portfolio บริหารโดย Michael Cuggino ซึ่งแสดงผลการดำเนินงานที่เหนือกว่าตลาดอย่างต่อเนื่อง โดยในปี 2024 กองทุนทำผลตอบแทนได้ถึง 28% และผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีในช่วง 10 ปีอยู่ที่ 13.28% ซึ่งสูงกว่าดัชนี S&P 500 ที่ทำได้ 13.1% ในช่วงเวลาเดียวกัน
กลยุทธ์ของกองทุนเน้นการกระจายการลงทุนอย่างหลากหลาย โดยมีสัดส่วนลงทุนที่สำคัญในภาคเทคโนโลยีและเลือกลงทุนในหลากหลายอุตสาหกรรม ซึ่งช่วยส่งเสริมผลการดำเนินงานที่แข็งแกร่งของกองทุนนี้
4. Alger Focus Equity Fund (ALGRX)
ผลตอบแทนปี 2024 : 51.8%
อัตราค่าธรรมเนียมการจัดการ: 1.28%
เงินลงทุนขั้นต่ำ: $1,000
กองทุน Alger Focus Equity Fund ทำผลตอบแทนได้อย่างน่าประทับใจที่ 51.8% ในปี 2024 ซึ่งมากกว่าผลตอบแทนของดัชนี S&P 500 ถึงสองเท่า กลยุทธ์ของกองทุนเน้นการลงทุนในบริษัทที่มีความมั่นใจสูงและมุ่งเน้นการเติบโต โดยเฉพาะในกลุ่มเทคโนโลยี
การมีพอร์ตการลงทุนที่เน้นจุดแข็งเฉพาะช่วยให้กองทุนสามารถจับโอกาสการเติบโตที่สำคัญได้อย่างเต็มที่
5. Fidelity Growth Company Fund (FDGRX)
ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีใน 5 ปี: ประมาณ 18%
อัตราค่าธรรมเนียมการจัดการ: 0.79%
เงินลงทุนขั้นต่ำ: $2,500
กองทุน Fidelity Growth Company Fund มุ่งเน้นลงทุนในบริษัทที่มีศักยภาพการเติบโตสูงกว่าค่าเฉลี่ย พอร์ตการลงทุนของกองทุนมีความหลากหลายครอบคลุมหลายกลุ่มอุตสาหกรรม เช่น เทคโนโลยี สุขภาพ และสินค้าอุปโภคบริโภคที่ไม่จำเป็น
กระบวนการลงทุนที่มีวินัยและทีมผู้จัดการที่มีประสบการณ์เป็นปัจจัยสำคัญที่ช่วยให้กองทุนสามารถทำผลตอบแทนได้ดีอย่างต่อเนื่องในช่วงหลายปีที่ผ่านมา
6. AMG Yacktman Focused Fund (YAFFX)
ผลตอบแทนปี 2024 : ~29%
ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปีใน 5 ปี: ประมาณ 15.6%
อัตราค่าธรรมเนียมการจัดการ: 0.99%
เงินลงทุนขั้นต่ำ: $2,500
กองทุน AMG Yacktman Focused Fund ใช้กลยุทธ์การลงทุนแบบเน้นคุณค่า (value-based investing) โดยให้ความสำคัญกับบริษัทที่มีคุณภาพสูงซึ่งมีราคาซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง
ผู้จัดการกองทุน สตีเฟ่น แย็คท์แมน มีประวัติที่แข็งแกร่งในการบริหารจัดการความผันผวนของตลาด ด้วยการวางตำแหน่งแบบป้องกันความเสี่ยงและการลงทุนแบบเน้นหุ้นบลูชิพที่ถูกประเมินค่าต่ำเกินไปอย่างเข้มข้น
7. JP Morgan Large Cap Growth Fund (OLGAX)
ผลตอบแทนปี 2024 : 37.2%
ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี 3 ปี: 21.3%
อัตราค่าธรรมเนียมการจัดการ: 0.79%
เงินลงทุนขั้นต่ำ: $1,000
กองทุนนี้ลงทุนในบริษัทเทคโนโลยีและสุขภาพขนาดใหญ่มาก (mega-cap) ที่มีการเติบโตอย่างมั่นคงและกระแสเงินสดที่แข็งแกร่ง กองทุนนี้เคยได้รับประโยชน์อย่างมากจากการถือครองหุ้นในบริษัทใหญ่ๆ เช่น Nvidia, Microsoft และ Eli Lilly ซึ่งเป็นตัวขับเคลื่อนผลการดำเนินงานในช่วงที่อุตสาหกรรมเทคโนโลยีและ AI กำลังเติบโตอย่างรวดเร็ว
8. PRIMECAP Odyssey Growth Fund (POGRX)
ผลตอบแทนปี 2024 : 33.8%
ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี 10 ปี: 14.8%
อัตราค่าธรรมเนียมการจัดการ: 0.65%
เงินลงทุนขั้นต่ำ: $2,000
กองทุน PRIMECAP มีชื่อเสียงในเรื่องความอดทนและการวิจัยเชิงลึก โดยมักลงทุนในช่วงเริ่มต้นในภาคธุรกิจที่มีนวัตกรรม เช่น ชีวเทคโนโลยี อุตสาหกรรมอวกาศ และเทคโนโลยีต่างๆ ระยะเวลาการถือครองหุ้นที่ยาวนานช่วยให้กองทุนได้รับประโยชน์จากการเติบโตแบบทบต้น
9. Morgan Stanley Insight (CINSX)
ผลตอบแทนปี 2024 : 42.5%
ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี 5 ปี: 19.2%
อัตราค่าธรรมเนียมการจัดการ: 0.71%
เงินลงทุนขั้นต่ำ: $1,000
กองทุนนี้ได้รับความนิยมอย่างมากโดยการลงทุนล่วงหน้าในกลุ่มเทคโนโลยีปัญญาประดิษฐ์ (AI), การประมวลผลบนคลาวด์ (cloud computing) และซอฟต์แวร์เป็นบริการ (SaaS) โดยเน้นลงทุนในบริษัทขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีนวัตกรรมและการเติบโตสูง ทำให้เป็นกองทุนที่มีความรวดเร็วและเต็มไปด้วยพลังเสริมกับกองทุนขนาดใหญ่แบบดั้งเดิมได้เป็นอย่างดี
10. T. Rowe Price Blue Chip Growth (TRBCX)
ผลตอบแทนปี 2024 : 31.5%
ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี 10 ปี: 15.2%
อัตราค่าธรรมเนียมการจัดการ: 0.69%
เงินลงทุนขั้นต่ำ: $2,500
กองทุนนี้เน้นลงทุนในบริษัทผู้นำในแต่ละภาคส่วนที่มีชื่อเสียงและโมเดลธุรกิจที่สามารถขยายตัวได้ หุ้นในบริษัทอย่าง Microsoft, Apple และ UnitedHealth Group ช่วยผลักดันให้กองทุนนี้มีผลการดำเนินงานที่ดีกว่า S&P 500 อย่างต่อเนื่อง
ระยะเวลาการลงทุนระยะยาว : กองทุนอย่าง Baron Partners เน้นการถือครองการลงทุนในระยะยาว ทำให้สามารถรับมือกับความผันผวนของตลาดและใช้ประโยชน์จากแนวโน้มการเติบโตในระยะยาวได้
กลยุทธ์การลงทุนที่เน้นเป้าหมายชัดเจน : กองทุนที่ทำผลตอบแทนได้ดีมักจะโฟกัสกับไอเดียที่มั่นใจสูง ซึ่งช่วยให้ได้รับประโยชน์อย่างมากจากการลงทุนที่ประสบความสำเร็จ
ความเชี่ยวชาญในภาคส่วนเฉพาะ : กองทุนที่มีความรู้เฉพาะด้านในภาคส่วน เช่น เทคโนโลยี สามารถระบุและลงทุนในบริษัทที่มีการเติบโตสูงได้ก่อนตลาดโดยรวม
ผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์ : ผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์นำเสนอข้อมูลเชิงลึกและแนวทางที่มีวินัยในการสร้างพอร์ตและการจัดการความเสี่ยง
ความสามารถในการปรับตัว : กองทุนที่ประสบความสำเร็จสามารถปรับกลยุทธ์ได้อย่างยืดหยุ่น เพื่อตอบสนองต่อสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงและโอกาสใหม่ ๆ
สรุป แม้ว่ากองทุนดัชนีอย่าง S&P 500 จะให้ความเรียบง่ายและผลตอบแทนที่มั่นคง แต่กองทุนรวมที่มีการบริหารจัดการเชิงรุกสามารถสร้างผลตอบแทนที่เหนือกว่าได้อย่างมีนัยสำคัญสำหรับผู้ที่พร้อมรับความเสี่ยงเพิ่มขึ้นและทำการวิเคราะห์อย่างรอบคอบ
กองทุนทั้ง 10 นี้ได้พิสูจน์ตัวเองด้วยการยึดมั่นในกลยุทธ์การลงทุนที่ได้รับการพิสูจน์แล้ว มุ่งเน้นที่ปัจจัยพื้นฐานระยะยาว และปรับตัวเข้ากับสภาพตลาดที่เปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ จึงทำให้พวกเขาอยู่ในอันดับต้น ๆ ของกองทุนรวมผลตอบที่ทำผลงานได้ดี
คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ
เรียนรู้การเทรดทอง Gold Spot อย่างละเอียด ตั้งแต่ความหมาย วิธีเทรด ข้อแตกต่างกับ Gold Future ปัจจัยกระทบราคา และเทคนิคทำกำไรในตลาดขาขึ้น-ขาลง
2025-06-20เรียนรู้วิธีระบุรูปแบบแนวทแยงที่สิ้นสุด ทำความเข้าใจโครงสร้าง และค้นหาสัญญาณการกลับตัวที่สำคัญโดยใช้การวิเคราะห์คลื่นเอลเลียต
2025-06-20ข้อใดไม่ใช่ตัวอย่างของกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงในการซื้อขาย เปิดเผยความเข้าใจผิดทั่วไปที่ทำให้เกิดการสูญเสียในการซื้อขาย
2025-06-20