10 กลยุทธ์ Swing Trade ที่ทำกำไรได้จริงในตลาด

2025-05-02
สรุป

Swing Trade คือกลยุทธ์ที่ใช้ทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาตลาดในระยะสั้นถึงกลาง บทความนี้แนะนำ 10 กลยุทธ์ที่ทำกำไรได้จริงในตลาด

Swing Trade ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องจากนักเทรดที่ต้องการทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาทั้งในระยะสั้นและระยะกลาง โดยนักเทรดแบบนี้จะถือสถานะการซื้อขายเป็นเวลาหลายวันถึงหลายสัปดาห์ เพื่อหากำไรจากการ "แกว่ง" ของตลาดผ่านกลยุทธ์ที่หลากหลาย


ในปี 2025 กลยุทธ์ต่าง ๆ ได้รับการพิสูจน์ว่าได้ผลโดยการใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค รูปแบบของตลาด และการดำเนินการอย่างมีระเบียบ


ต่อไปนี้คือ 10 กลยุทธ์ Swing Trade ที่เราแนะนำในสภาวะตลาดปัจจุบัน


10 กลยุทธ์ Swing Trade ที่ดีที่สุด

กลยุทธ์ Swing Trade ที่ดีที่สุด - EBC


1. การติดตามแนวโน้ม (Trend Following)

กลยุทธ์นี้เน้นการระบุและเทรดตามทิศทางของแนวโน้มตลาดที่มีอยู่ โดยนักเทรดจะใช้เครื่องมือต่าง ๆ เช่น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) เพื่อยืนยันแนวโน้มและหาจุดเข้าและออกจากการเทรด


ตัวอย่างเช่น นักเทรดอาจเลือกเข้าเทรดเมื่อราคาผ่านขึ้นไปเหนือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน ซึ่งถือเป็นสัญญาณของแนวโน้มขาขึ้น และจะออกจากการเทรดเมื่อราคาต่ำกว่าค่าเฉลี่ยนั้น กลยุทธ์นี้ใช้ประโยชน์จากโมเมนตัมของตลาด โดยนักเทรดหวังว่าจะทำกำไรจากการขี่แนวโน้มจนกว่าจะมีสัญญาณการกลับตัว


ตัวอย่าง: นักเทรดสังเกตว่า Apple (AAPL) ปิดที่ราคาสูงกว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วันมาอย่างต่อเนื่องหลายสัปดาห์ เขาจึงเข้าซื้อในตำแหน่ง long โดยวางแผนจะขายเมื่อราคาปิดต่ำกว่าค่าเฉลี่ยนั้น เพื่อเก็บกำไรจากแนวโน้มขาขึ้น


2. การเทรดตามแนวรับและแนวต้าน (Support and Resistance Trading)

กลยุทธ์นี้มุ่งเน้นการระบุระดับแนวรับและแนวต้านสำคัญที่ราคามักจะย้อนกลับจากจุดเหล่านี้ในอดีต นักเทรดจะหาจังหวะเข้าซื้อใกล้ระดับแนวรับและขายใกล้ระดับแนวต้าน


การวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาในอดีตช่วยให้นักเทรดสามารถคาดการณ์การกลับตัวของราคา หรือการทะลุผ่านระดับราคาเหล่านี้ ซึ่งทำให้สามารถตั้งจุดเข้าและออกจากการเทรดได้อย่างมีกลยุทธ์


ตัวอย่าง: Amazon (AMZN) ดีดตัวขึ้นจากราคา $120 3 ครั้งในหนึ่งเดือน นักเทรดเลือกซื้อใกล้ระดับแนวรับนี้โดยคาดหวังว่าจะมีการดีดตัวขึ้นอีกครั้ง และขายใกล้ระดับแนวต้านที่ $135


3. การเทรดตามโมเมนตัม (Momentum Trading)

กลยุทธ์การเทรดตามโมเมนตัมมุ่งเน้นการเข้าเทรดตามทิศทางของราคาเมื่อมีการเคลื่อนไหวที่แข็งแกร่ง โดยนักเทรดจะใช้เครื่องมืออย่างดัชนี RSI หรือเครื่องมืออื่น ๆ เพื่อระบุสภาวะที่ราคาซื้อเกินไปหรือขายเกินไป


เมื่อ RSI สูงกว่า 70 จะบ่งชี้ว่าตลาดอาจอยู่ในสภาวะซื้อมากเกินไป และอาจถึงเวลาที่จะต้องพิจารณาขาย ขณะที่เมื่อ RSI ต่ำกว่า 30 จะบ่งชี้ว่าตลาดอาจอยู่ในสภาวะซื้อขายเกินไป และอาจเป็นโอกาสในการซื้อ


ตัวอย่าง: NVIDIA (NVDA) ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากผลประกอบการที่แข็งแกร่ง และ RSI พุ่งขึ้นถึง 75 นักเทรดตัดสินใจเปิดตำแหน่ง long ตามโมเมนตัมในช่วงที่ราคายังคงแข็งแกร่ง และล็อคกำไรเมื่อเริ่มเห็นสัญญาณการชะลอตัวของราคา


4. การเทรดแบบเบรกเอาท์ (Breakout Trading)

กลยุทธ์เบรกเอาท์เน้นการเข้าซื้อหรือขายเมื่อราคาทะลุผ่านระดับแนวรับหรือแนวต้านที่สำคัญ โดยนักเทรดคาดหวังว่าราคาจะเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่มีความผันผวนสูงหลังจากการเบรกเอาท์


นักเทรดมักใช้ตัวชี้วัดปริมาณการซื้อขาย (Volume Indicators) เพื่อยืนยันความแข็งแกร่งของการเบรกเอาท์ ซึ่งหากมีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นพร้อมกับการทะลุผ่านระดับสำคัญ จะยิ่งเพิ่มความมั่นใจในการเปิดตำแหน่ง


ตัวอย่าง: Tesla (TSLA) ทะลุผ่านแนวต้านที่ $850 พร้อมปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น นักเทรดจึงตัดสินใจเปิดตำแหน่ง long ในช่วงเบรกเอาท์นี้ โดยคาดหวังการเคลื่อนไหวที่รุนแรงขึ้นจากโมเมนตัมที่เกิดขึ้น


5. การเทรดแบบกลับตัว (Reversal Trading)

กลยุทธ์การเทรดแบบกลับตัวมุ่งเน้นการระบุจุดที่ตลาดจะเปลี่ยนทิศทาง โดยนักเทรดจะมองหารูปแบบราคา เช่น Double Top, Double Bottom, Head and Shoulders หรือแท่งเทียนรูปแบบต่าง ๆ เช่น Doji หรือ Hammer เพื่อหาจุดเปลี่ยนทิศทาง


เมื่อนำมาร่วมกับอินดิเคเตอร์ทางเทคนิค เช่น RSI หรือ MACD จะสามารถส่งสัญญาณการกลับตัวของแนวโน้ม ซึ่งช่วยให้นักเทรดสามารถเข้าเทรดได้ในช่วงเริ่มต้นของแนวโน้มใหม่


ตัวอย่าง: หลังจากการเทรดลงมาหลายวัน Microsoft (MSFT) ปรากฏรูปแบบ Double Bottom ใกล้ระดับราคา $280 นักเทรดจึงตัดสินใจเปิดตำแหน่ง long เมื่อราคาขึ้นทะลุแนวต้านที่ $290 โดยคาดหวังว่าราคาจะดีดตัวขึ้นไปถึง $310


6. การข้ามของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average Crossover)

กลยุทธ์การข้ามของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ใช้การตัดกันระหว่างค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะสั้นและระยะยาว เพื่อเป็นสัญญาณการซื้อหรือขาย เช่น เมื่อค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วันตัดขึ้นเหนือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน ถือเป็นสัญญาณเริ่มต้นของแนวโน้มขาขึ้น ซึ่งนักเทรดจะเข้าเทรดในตำแหน่ง long


ในทางกลับกัน หากค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วันตัดลงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน จะเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นแนวโน้มขาลง ซึ่งเป็นสัญญาณให้ขาย


ตัวอย่าง: Netflix (NFLX) ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 20 วันตัดขึ้นเหนือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน ทำให้เกิดสัญญาณการซื้อนักเทรดจึงเปิดตำแหน่ง long และวางแผนจะถือไว้จนกว่าการข้ามลงจะเกิดขึ้น


7. การย้อนกลับของ Fibonacci (Fibonacci Retracement)

กลยุทธ์ Fibonacci Retracement ใช้ระดับการย้อนกลับของ Fibonacci เพื่อหาจุดที่ราคาอาจกลับตัวหลังจากการเคลื่อนไหวของราคาในทิศทางหนึ่ง นักเทรดจะใช้ระดับ Fibonacci เช่น 38.2%, 50%, และ 61.8%ใ นการกำหนดระดับแนวรับหรือแนวต้านที่ราคาอาจจะพลิกกลับ


เมื่อราคาลงมาที่ระดับเหล่านี้ อาจเป็นจุดที่ดีในการเปิดตำแหน่งใหม่ตามทิศทางของแนวโน้มเดิม


ตัวอย่าง: หลังจากที่ Google (GOOGL) ปรับขึ้นไปจาก $100 ถึง $120 นักเทรดจะใช้ระดับ Fibonacci 61.8% ที่ประมาณ $108 เป็นจุดซื้อ โดยคาดหวังว่าราคาจะกลับตัวขึ้นและดำเนินการในทิศทางขาขึ้นต่อไป


8. การวิเคราะห์รูปแบบแท่งเทียน (Candlestick Pattern Analysis)

การวิเคราะห์รูปแบบแท่งเทียนช่วยให้นักเทรดตีความจากความรู้สึกของตลาดและคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคา รูปแบบแท่งเทียน เช่น Engulfing, Doji, หรือ Hammer มักบ่งชี้ถึงการกลับตัวหรือการต่อเนื่องของแนวโน้ม


การใช้รูปแบบแท่งเทียนร่วมกับอินดิเคเตอร์อื่น ๆ เช่น RSI หรือ MACD จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจ


ตัวอย่าง: เมื่อ Meta Platforms (META) เกิดรูปแบบแท่งเทียน Engulfing ขาขึ้นหลังจากที่ราคาลงไป นักเทรดจะมองว่าเป็นสัญญาณของการกลับมาของแรงซื้อและเปิดการเทรดโดยคาดหวังการเคลื่อนไหว 5–10%


9. กลยุทธ์การใช้ RSI (Relative Strength Index)

RSI คือเครื่องมือที่ใช้วัดความเร็วและการเปลี่ยนแปลงของการเคลื่อนไหวของราคา ช่วยให้นักเทรดสามารถระบุสภาวะซื้อมากเกินไปหรือขายมากเกินไปได้ โดยทั่วไปแล้วเมื่อ RSI สูงกว่า 70 จะบ่งชี้ว่าตลาดอยู่ในสภาวะซื้อมากเกินไป และอาจเกิดการปรับฐาน ส่วนเมื่อ RSI ต่ำกว่า 30 จะบ่งชี้ถึงสภาวะขายมากเกินไป และอาจมีโอกาสเกิดการฟื้นตัว


ตัวอย่าง: เมื่อ RSI ของ AMD ลดลงต่ำกว่า 30 ระหว่างการปรับฐาน นักเทรดจะซื้อหุ้น โดยคาดหวังการดีดตัวขึ้นในระยะสั้นจากการที่ราคาถูกขายมากเกินไป


10. การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย (Volume Analysis)

การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายใช้เพื่อยืนยันแนวโน้มราคาและคาดการณ์การกลับตัว การเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายมักยืนยันการเคลื่อนไหวของราคาในทิศทางที่แข็งแกร่ง ในขณะที่การลดลงของปริมาณการซื้อขายอาจบ่งชี้ถึงการอ่อนแอลงของแนวโน้ม


โดยการจับคู่ปริมาณการซื้อขายกับการเคลื่อนไหวของราคา นักเทรดสามารถตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้นว่าเมื่อไรควรเข้าออกจากตลาด


ตัวอย่าง: เมื่อ Shopify (SHOP) แสดงการเบรกเอาท์ที่ราคา $60 พร้อมกับการเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขาย นักเทรดสามารถเปิดตำแหน่ง long เพื่อรอผลตอบแทนจากการเบรกเอาท์ที่ยืนยันได้จากปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น


สรุป

การใช้กลยุทธ์ Swing Trade ต้องอาศัยทั้งวินัย การจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบ และการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประสบความสำเร็จในระยะยาวนักเทรดควรทดสอบกลยุทธ์ต่าง ๆ ก่อนนำไปใช้จริง เพื่อมั่นใจว่าเหมาะสมกับสไตล์การเทรดและสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป และควรติดตามการเคลื่อนไหวของตลาดอย่างสม่ำเสมอเพื่อปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น


คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ

เทรดทอง Gold Spot VS Gold Future ต่างกันยังไง? รู้ไว้ก่อนลงทุน!

เทรดทอง Gold Spot VS Gold Future ต่างกันยังไง? รู้ไว้ก่อนลงทุน!

เรียนรู้การเทรดทอง Gold Spot อย่างละเอียด ตั้งแต่ความหมาย วิธีเทรด ข้อแตกต่างกับ Gold Future ปัจจัยกระทบราคา และเทคนิคทำกำไรในตลาดขาขึ้น-ขาลง

2025-06-20
การสิ้นสุดเส้นทแยงมุมเข้ากับกลยุทธ์การซื้อขายของคุณอย่างไร?

การสิ้นสุดเส้นทแยงมุมเข้ากับกลยุทธ์การซื้อขายของคุณอย่างไร?

เรียนรู้วิธีระบุรูปแบบแนวทแยงที่สิ้นสุด ทำความเข้าใจโครงสร้าง และค้นหาสัญญาณการกลับตัวที่สำคัญโดยใช้การวิเคราะห์คลื่นเอลเลียต

2025-06-20
ข้อใดไม่ใช่ตัวอย่างของกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยง?

ข้อใดไม่ใช่ตัวอย่างของกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยง?

ข้อใดไม่ใช่ตัวอย่างของกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงในการซื้อขาย เปิดเผยความเข้าใจผิดทั่วไปที่ทำให้เกิดการสูญเสียในการซื้อขาย

2025-06-20