Swing Trade คือกลยุทธ์ที่ใช้ทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาตลาดในระยะสั้นถึงกลาง บทความนี้แนะนำ 10 กลยุทธ์ที่ทำกำไรได้จริงในตลาด
Swing Trade ยังคงได้รับความนิยมอย่างต่อเนื่องจากนักเทรดที่ต้องการทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาทั้งในระยะสั้นและระยะกลาง โดยนักเทรดแบบนี้จะถือสถานะการซื้อขายเป็นเวลาหลายวันถึงหลายสัปดาห์ เพื่อหากำไรจากการ "แกว่ง" ของตลาดผ่านกลยุทธ์ที่หลากหลาย
ในปี 2025 กลยุทธ์ต่าง ๆ ได้รับการพิสูจน์ว่าได้ผลโดยการใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิค รูปแบบของตลาด และการดำเนินการอย่างมีระเบียบ
ต่อไปนี้คือ 10 กลยุทธ์ Swing Trade ที่เราแนะนำในสภาวะตลาดปัจจุบัน
10 กลยุทธ์ Swing Trade ที่ดีที่สุด
1. การติดตามแนวโน้ม (Trend Following)
กลยุทธ์นี้เน้นการระบุและเทรดตามทิศทางของแนวโน้มตลาดที่มีอยู่ โดยนักเทรดจะใช้เครื่องมือต่าง ๆ เช่น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) เพื่อยืนยันแนวโน้มและหาจุดเข้าและออกจากการเทรด
ตัวอย่างเช่น นักเทรดอาจเลือกเข้าเทรดเมื่อราคาผ่านขึ้นไปเหนือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน ซึ่งถือเป็นสัญญาณของแนวโน้มขาขึ้น และจะออกจากการเทรดเมื่อราคาต่ำกว่าค่าเฉลี่ยนั้น กลยุทธ์นี้ใช้ประโยชน์จากโมเมนตัมของตลาด โดยนักเทรดหวังว่าจะทำกำไรจากการขี่แนวโน้มจนกว่าจะมีสัญญาณการกลับตัว
ตัวอย่าง: นักเทรดสังเกตว่า Apple (AAPL) ปิดที่ราคาสูงกว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วันมาอย่างต่อเนื่องหลายสัปดาห์ เขาจึงเข้าซื้อในตำแหน่ง long โดยวางแผนจะขายเมื่อราคาปิดต่ำกว่าค่าเฉลี่ยนั้น เพื่อเก็บกำไรจากแนวโน้มขาขึ้น
2. การเทรดตามแนวรับและแนวต้าน (Support and Resistance Trading)
กลยุทธ์นี้มุ่งเน้นการระบุระดับแนวรับและแนวต้านสำคัญที่ราคามักจะย้อนกลับจากจุดเหล่านี้ในอดีต นักเทรดจะหาจังหวะเข้าซื้อใกล้ระดับแนวรับและขายใกล้ระดับแนวต้าน
การวิเคราะห์การเคลื่อนไหวของราคาในอดีตช่วยให้นักเทรดสามารถคาดการณ์การกลับตัวของราคา หรือการทะลุผ่านระดับราคาเหล่านี้ ซึ่งทำให้สามารถตั้งจุดเข้าและออกจากการเทรดได้อย่างมีกลยุทธ์
ตัวอย่าง: Amazon (AMZN) ดีดตัวขึ้นจากราคา $120 3 ครั้งในหนึ่งเดือน นักเทรดเลือกซื้อใกล้ระดับแนวรับนี้โดยคาดหวังว่าจะมีการดีดตัวขึ้นอีกครั้ง และขายใกล้ระดับแนวต้านที่ $135
3. การเทรดตามโมเมนตัม (Momentum Trading)
กลยุทธ์การเทรดตามโมเมนตัมมุ่งเน้นการเข้าเทรดตามทิศทางของราคาเมื่อมีการเคลื่อนไหวที่แข็งแกร่ง โดยนักเทรดจะใช้เครื่องมืออย่างดัชนี RSI หรือเครื่องมืออื่น ๆ เพื่อระบุสภาวะที่ราคาซื้อเกินไปหรือขายเกินไป
เมื่อ RSI สูงกว่า 70 จะบ่งชี้ว่าตลาดอาจอยู่ในสภาวะซื้อมากเกินไป และอาจถึงเวลาที่จะต้องพิจารณาขาย ขณะที่เมื่อ RSI ต่ำกว่า 30 จะบ่งชี้ว่าตลาดอาจอยู่ในสภาวะซื้อขายเกินไป และอาจเป็นโอกาสในการซื้อ
ตัวอย่าง: NVIDIA (NVDA) ปรับตัวขึ้นอย่างรวดเร็วหลังจากผลประกอบการที่แข็งแกร่ง และ RSI พุ่งขึ้นถึง 75 นักเทรดตัดสินใจเปิดตำแหน่ง long ตามโมเมนตัมในช่วงที่ราคายังคงแข็งแกร่ง และล็อคกำไรเมื่อเริ่มเห็นสัญญาณการชะลอตัวของราคา
4. การเทรดแบบเบรกเอาท์ (Breakout Trading)
กลยุทธ์เบรกเอาท์เน้นการเข้าซื้อหรือขายเมื่อราคาทะลุผ่านระดับแนวรับหรือแนวต้านที่สำคัญ โดยนักเทรดคาดหวังว่าราคาจะเคลื่อนที่ไปในทิศทางที่มีความผันผวนสูงหลังจากการเบรกเอาท์
นักเทรดมักใช้ตัวชี้วัดปริมาณการซื้อขาย (Volume Indicators) เพื่อยืนยันความแข็งแกร่งของการเบรกเอาท์ ซึ่งหากมีปริมาณการซื้อขายเพิ่มขึ้นพร้อมกับการทะลุผ่านระดับสำคัญ จะยิ่งเพิ่มความมั่นใจในการเปิดตำแหน่ง
ตัวอย่าง: Tesla (TSLA) ทะลุผ่านแนวต้านที่ $850 พร้อมปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น นักเทรดจึงตัดสินใจเปิดตำแหน่ง long ในช่วงเบรกเอาท์นี้ โดยคาดหวังการเคลื่อนไหวที่รุนแรงขึ้นจากโมเมนตัมที่เกิดขึ้น
5. การเทรดแบบกลับตัว (Reversal Trading)
กลยุทธ์การเทรดแบบกลับตัวมุ่งเน้นการระบุจุดที่ตลาดจะเปลี่ยนทิศทาง โดยนักเทรดจะมองหารูปแบบราคา เช่น Double Top, Double Bottom, Head and Shoulders หรือแท่งเทียนรูปแบบต่าง ๆ เช่น Doji หรือ Hammer เพื่อหาจุดเปลี่ยนทิศทาง
เมื่อนำมาร่วมกับอินดิเคเตอร์ทางเทคนิค เช่น RSI หรือ MACD จะสามารถส่งสัญญาณการกลับตัวของแนวโน้ม ซึ่งช่วยให้นักเทรดสามารถเข้าเทรดได้ในช่วงเริ่มต้นของแนวโน้มใหม่
ตัวอย่าง: หลังจากการเทรดลงมาหลายวัน Microsoft (MSFT) ปรากฏรูปแบบ Double Bottom ใกล้ระดับราคา $280 นักเทรดจึงตัดสินใจเปิดตำแหน่ง long เมื่อราคาขึ้นทะลุแนวต้านที่ $290 โดยคาดหวังว่าราคาจะดีดตัวขึ้นไปถึง $310
6. การข้ามของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average Crossover)
กลยุทธ์การข้ามของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ใช้การตัดกันระหว่างค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะสั้นและระยะยาว เพื่อเป็นสัญญาณการซื้อหรือขาย เช่น เมื่อค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วันตัดขึ้นเหนือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน ถือเป็นสัญญาณเริ่มต้นของแนวโน้มขาขึ้น ซึ่งนักเทรดจะเข้าเทรดในตำแหน่ง long
ในทางกลับกัน หากค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วันตัดลงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 200 วัน จะเป็นสัญญาณของการเริ่มต้นแนวโน้มขาลง ซึ่งเป็นสัญญาณให้ขาย
ตัวอย่าง: Netflix (NFLX) ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 20 วันตัดขึ้นเหนือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน ทำให้เกิดสัญญาณการซื้อนักเทรดจึงเปิดตำแหน่ง long และวางแผนจะถือไว้จนกว่าการข้ามลงจะเกิดขึ้น
7. การย้อนกลับของ Fibonacci (Fibonacci Retracement)
กลยุทธ์ Fibonacci Retracement ใช้ระดับการย้อนกลับของ Fibonacci เพื่อหาจุดที่ราคาอาจกลับตัวหลังจากการเคลื่อนไหวของราคาในทิศทางหนึ่ง นักเทรดจะใช้ระดับ Fibonacci เช่น 38.2%, 50%, และ 61.8%ใ นการกำหนดระดับแนวรับหรือแนวต้านที่ราคาอาจจะพลิกกลับ
เมื่อราคาลงมาที่ระดับเหล่านี้ อาจเป็นจุดที่ดีในการเปิดตำแหน่งใหม่ตามทิศทางของแนวโน้มเดิม
ตัวอย่าง: หลังจากที่ Google (GOOGL) ปรับขึ้นไปจาก $100 ถึง $120 นักเทรดจะใช้ระดับ Fibonacci 61.8% ที่ประมาณ $108 เป็นจุดซื้อ โดยคาดหวังว่าราคาจะกลับตัวขึ้นและดำเนินการในทิศทางขาขึ้นต่อไป
8. การวิเคราะห์รูปแบบแท่งเทียน (Candlestick Pattern Analysis)
การวิเคราะห์รูปแบบแท่งเทียนช่วยให้นักเทรดตีความจากความรู้สึกของตลาดและคาดการณ์การเคลื่อนไหวของราคา รูปแบบแท่งเทียน เช่น Engulfing, Doji, หรือ Hammer มักบ่งชี้ถึงการกลับตัวหรือการต่อเนื่องของแนวโน้ม
การใช้รูปแบบแท่งเทียนร่วมกับอินดิเคเตอร์อื่น ๆ เช่น RSI หรือ MACD จะช่วยเพิ่มความมั่นใจในการตัดสินใจ
ตัวอย่าง: เมื่อ Meta Platforms (META) เกิดรูปแบบแท่งเทียน Engulfing ขาขึ้นหลังจากที่ราคาลงไป นักเทรดจะมองว่าเป็นสัญญาณของการกลับมาของแรงซื้อและเปิดการเทรดโดยคาดหวังการเคลื่อนไหว 5–10%
9. กลยุทธ์การใช้ RSI (Relative Strength Index)
RSI คือเครื่องมือที่ใช้วัดความเร็วและการเปลี่ยนแปลงของการเคลื่อนไหวของราคา ช่วยให้นักเทรดสามารถระบุสภาวะซื้อมากเกินไปหรือขายมากเกินไปได้ โดยทั่วไปแล้วเมื่อ RSI สูงกว่า 70 จะบ่งชี้ว่าตลาดอยู่ในสภาวะซื้อมากเกินไป และอาจเกิดการปรับฐาน ส่วนเมื่อ RSI ต่ำกว่า 30 จะบ่งชี้ถึงสภาวะขายมากเกินไป และอาจมีโอกาสเกิดการฟื้นตัว
ตัวอย่าง: เมื่อ RSI ของ AMD ลดลงต่ำกว่า 30 ระหว่างการปรับฐาน นักเทรดจะซื้อหุ้น โดยคาดหวังการดีดตัวขึ้นในระยะสั้นจากการที่ราคาถูกขายมากเกินไป
10. การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขาย (Volume Analysis)
การวิเคราะห์ปริมาณการซื้อขายใช้เพื่อยืนยันแนวโน้มราคาและคาดการณ์การกลับตัว การเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขายมักยืนยันการเคลื่อนไหวของราคาในทิศทางที่แข็งแกร่ง ในขณะที่การลดลงของปริมาณการซื้อขายอาจบ่งชี้ถึงการอ่อนแอลงของแนวโน้ม
โดยการจับคู่ปริมาณการซื้อขายกับการเคลื่อนไหวของราคา นักเทรดสามารถตัดสินใจได้ดียิ่งขึ้นว่าเมื่อไรควรเข้าออกจากตลาด
ตัวอย่าง: เมื่อ Shopify (SHOP) แสดงการเบรกเอาท์ที่ราคา $60 พร้อมกับการเพิ่มขึ้นของปริมาณการซื้อขาย นักเทรดสามารถเปิดตำแหน่ง long เพื่อรอผลตอบแทนจากการเบรกเอาท์ที่ยืนยันได้จากปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น
สรุป
การใช้กลยุทธ์ Swing Trade ต้องอาศัยทั้งวินัย การจัดการความเสี่ยงอย่างรอบคอบ และการเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ประสบความสำเร็จในระยะยาวนักเทรดควรทดสอบกลยุทธ์ต่าง ๆ ก่อนนำไปใช้จริง เพื่อมั่นใจว่าเหมาะสมกับสไตล์การเทรดและสภาวะตลาดที่เปลี่ยนแปลงไป และควรติดตามการเคลื่อนไหวของตลาดอย่างสม่ำเสมอเพื่อปรับตัวให้ทันกับสถานการณ์ที่เกิดขึ้น
คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ
เรียนรู้การเทรดทอง Gold Spot อย่างละเอียด ตั้งแต่ความหมาย วิธีเทรด ข้อแตกต่างกับ Gold Future ปัจจัยกระทบราคา และเทคนิคทำกำไรในตลาดขาขึ้น-ขาลง
2025-06-20เรียนรู้วิธีระบุรูปแบบแนวทแยงที่สิ้นสุด ทำความเข้าใจโครงสร้าง และค้นหาสัญญาณการกลับตัวที่สำคัญโดยใช้การวิเคราะห์คลื่นเอลเลียต
2025-06-20ข้อใดไม่ใช่ตัวอย่างของกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงในการซื้อขาย เปิดเผยความเข้าใจผิดทั่วไปที่ทำให้เกิดการสูญเสียในการซื้อขาย
2025-06-20