简体中文 繁體中文 English 한국어 日本語 Español Bahasa Indonesia Tiếng Việt Português Монгол العربية हिन्दी Русский ئۇيغۇر تىلى

ETF vs Futures ตัวไหนเหมาะกับกลยุทธ์ของคุณ

เผยแพร่เมื่อ: 2025-01-27    อัปเดตเมื่อ: 2025-03-28

Futures และ Exchange Traded Funds (ETF) หรือกองทุนรวมดัชนีที่ซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์ เป็นเครื่องมือที่ใช้กันอย่างแพร่หลายในการเข้าถึงตลาดการเงิน โดยเฉพาะดัชนีหลัก ๆ เช่น S&P 500 หรือ FTSE 100 แม้ว่าทั้งสองเครื่องมือนี้จะช่วยให้คุณทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของตลาดได้ แต่มีความแตกต่างในด้านโครงสร้าง ความเสี่ยง และจุดประสงค์การใช้งาน หากคุณกำลังตัดสินใจระหว่างสองตัวเลือกนี้ การเข้าใจคุณสมบัติที่แตกต่างและเลือกให้ตรงกับเป้าหมายการลงทุนของคุณจึงเป็นเรื่องที่สำคัญ

การเทรด futures ด้วยเลเวอเรจคืออะไร - ebc

ทำความเข้าใจ Futures และ ETF

Futures คือ สัญญาข้อตกลงในการซื้อหรือขายสินทรัพย์ เช่น ดัชนี สินค้าโภคภัณฑ์ หรือสกุลเงินในอนาคตตามราคาปัจจุบัน Futures เป็นเครื่องมือที่มักถูกใช้โดยเทรดเดอร์ที่ต้องการเก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของตลาด หรือใช้เพื่อป้องกันความเสี่ยง จุดเด่นสำคัญ คือ การใช้เลเวอเรจ ซึ่งหมายความว่าคุณสามารถทำการเทรดได้โดยการวางเงินเพียงส่วนหนึ่งของมูลค่ารวมของสัญญาเท่านั้น


ในขณะที่ ETF คือ กองทุนที่มีการลงทุนตามดัชนีต่าง ๆ โดยแตกต่างจาก Futures ตรงที่ ETF ไม่มีวันหมดอายุหรือข้อผูกพันในการชำระที่เฉพาะเจาะจง และสามารถซื้อขายได้ในตลาดหลักทรัพย์เหมือนหุ้น ทำให้นักลงทุนสามารถซื้อขายได้ตลอดทั้งวัน การลงทุนใน ETF จึงสะดวกและเหมาะกับผู้ที่ต้องการลงทุนระยะยาว โดยไม่ต้องเผชิญกับความซับซ้อนเหมือนการเทรด Futures


สรุปง่าย ๆ คือ Futures เหมาะกับเทรดเดอร์ที่ต้องการเก็งกำไรระยะสั้นและใช้เลเวอเรจสูง ส่วน ETF เหมาะกับนักลงทุนระยะยาวที่ต้องการความหลากหลายและความสะดวกในการลงทุน


การเปรียบเทียบค่าใช้จ่ายและค่าธรรมเนียม: Futures vs ETF

เมื่อพูดถึงค่าใช้จ่าย Futures และ ETF มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน ในการเทรด Futures ผู้ลงทุนมักจะซื้อขายผ่านโบรกเกอร์ โดยค่าธรรมเนียมหลักคือค่าคอมมิชชั่นที่เรียกเก็บต่อสัญญา ซึ่งอัตราค่าคอมมิชชั่นนี้อาจแตกต่างกันไปตามโบรกเกอร์ แต่โดยทั่วไปมักจะไม่สูงนัก อย่างไรก็ตาม การเทรด Futures ยังเกี่ยวข้องกับ "มาร์จิ้น" ซึ่งเป็นจำนวนเงินที่ต้องมีในบัญชีเพื่อเป็นหลักประกันสำหรับการเปิดออเดอร์ นอกจากนี้ หากต้องการขยายตำแหน่งหลังจากสัญญาหมดอายุ ก็อาจต้องเสียค่าใช้จ่ายเพิ่มเติมที่เรียกว่า "ค่าใช้จ่ายการต่อสัญญา"


ในขณะที่ ETF ก็มีค่าใช้จ่ายที่นักลงทุนต้องพิจารณา โดยค่าใช้จ่ายหลักคือค่าธรรมเนียมการจัดการรายปีจากผู้ให้บริการกองทุน ซึ่งมักจะค่อนข้างต่ำ โดยเฉพาะสำหรับ ETF ขนาดใหญ่ที่มีการซื้อขายแพร่หลาย โดยทั่วไปอัตราค่าธรรมเนียมมักจะต่ำกว่า 0.1% อย่างไรก็ตาม ค่าใช้จ่ายเหล่านี้อาจสะสมเพิ่มขึ้นได้เมื่อเวลาผ่านไป โดยเฉพาะสำหรับนักลงทุนระยะยาว นอกจากนี้ ยังอาจมีค่าธรรมเนียมการซื้อขายเมื่อทำการซื้อหรือขายหุ้น ETF ซึ่งแม้ว่าค่าธรรมเนียมเหล่านี้จะค่อนข้างต่ำ แต่ก็ยังคงเป็นปัจจัยที่ควรพิจารณา


โดยรวมแล้ว Futures เหมาะสำหรับการเทรดระยะสั้นที่มีปริมาณการซื้อขายสูง เนื่องจากค่าคอมมิชชั่นที่ต่ำและความสามารถในการใช้เลเวอเรจ แต่การใช้เลเวอเรจอาจทำให้ความเสี่ยงของการขาดทุนสูงขึ้น ขณะที่ ETF แม้จะมีค่าใช้จ่ายสูงกว่าสำหรับการเทรดที่ค่อนข้างกระตือรือร้น แต่เป็นตัวเลือกที่เหมาะสมสำหรับนักลงทุนระยะยาวที่ต้องการความสะดวกและความเสี่ยงที่ต่ำกว่า


สภาพคล่องและเวลาการซื้อขาย: Futures vs ETF

สภาพคล่อง หมายถึง ความสามารถในการซื้อหรือขายสินทรัพย์โดยไม่ทำให้ราคาของสินทรัพย์นั้นขยับมากเกินไป ทั้ง Futures และ ETF ต่างก็มีสภาพคล่องสูง แต่ความแตกต่างกันจะเห็นได้ชัดในแง่ของเวลาการซื้อขายและกลไกที่เกี่ยวข้องกับการซื้อขายนั้น


ตลาด Futures เปิดการซื้อขายตลอด 24 ชั่วโมง ซึ่งเหมาะกับเทรดเดอร์ที่ต้องการตอบสนองต่อเหตุการณ์ต่าง ๆ ทั่วโลกได้ทันที ไม่ว่าจะเป็นข่าวเศรษฐกิจจากเอเชียหรือเหตุการณ์ทางการเมืองในสหรัฐฯ Futures ช่วยให้คุณสามารถเทรดได้ตลอดเวลา แต่ต้องระวังว่าในช่วงเวลาที่ตลาดเงียบ สภาพคล่องอาจลดลง ซึ่งอาจทำให้สเปรดกว้างขึ้นและอาจส่งผลกระทบต่อการเข้าหรือออกจากตลาดได้


ในขณะที่ ETF ซื้อขายในช่วงเวลาปกติของตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งหมายความว่าคุณไม่สามารถเทรดนอกเวลานั้นได้ แต่ในช่วงเวลาการซื้อขาย ETF จะมีสภาพคล่องสูงมาก โดยเฉพาะ ETF ขนาดใหญ่ที่มีการซื้อขายอย่างหนาแน่น สภาพคล่องที่สูงนี้ทำให้การซื้อขายเป็นไปได้อย่างราบรื่นและมีสเปรดที่แคบ การเทรดส่วนใหญ่จึงไม่ส่งผลกระทบต่อตลาดมากนัก


สำหรับนักลงทุนที่ต้องการความยืดหยุ่นและสามารถตัดสินใจได้รวดเร็ว Futures อาจเป็นตัวเลือกที่ดีกว่า เนื่องจากสามารถเทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมง แต่สำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่ที่มุ่งเน้นการลงทุนระยะยาว เวลาการซื้อขายที่มีข้อจำกัดของ ETF ก็เพียงพอแล้ว เพราะไม่จำเป็นต้องตอบสนองต่อการเปลี่ยนแปลงในตลาดระยะสั้น


เลเวอเรจและข้อกำหนดมาร์จิ้น: Futures vs ETF

เลเวอเรจเป็นปัจจัยสำคัญที่ต้องพิจารณาเมื่อเปรียบเทียบ Futures กับ ETF โดยในกรณีของ Futures จะมีการใช้เลเวอเรจอยู่แล้ว อย่างไรก็ตาม การใช้เลเวอเรจก็มีความเสี่ยงที่สูงขึ้น หากตลาดเคลื่อนไหวไม่เป็นไปตามที่คาดหมาย นักลงทุนอาจต้องเผชิญกับการขาดทุนที่มากขึ้น ในการเทรด Futures นักลงทุนต้องมีมาร์จิ้นในบัญชีเป็นการค้ำประกันความเสี่ยง หากตำแหน่งที่เปิดไว้ขาดทุน โบรกเกอร์อาจขอให้คุณเพิ่มเงินในบัญชีซึ่งเรียกว่า "มาร์จิ้นคอล (Margin Call)"


ในทางกลับกัน ETF ไม่มีการใช้เลเวอเรจโดยธรรมชาติ ซึ่งหมายความว่าเมื่อคุณซื้อ ETF คุณจะจ่ายเงินเต็มจำนวนในครั้งเดียว และการลงทุนของคุณจะถูกจำกัดตามจำนวนที่คุณลงทุนไป แม้ว่าจะมี ETF ที่ใช้เลเวอเรจสำหรับเทรดเดอร์ที่ต้องการเพิ่มการลงทุน แต่กองทุนเหล่านี้จะใช้อนุพันธ์เพื่อเพิ่มผลตอบแทนจากดัชนีในแต่ละวัน ซึ่งอาจเพิ่มความเสี่ยงและค่าใช้จ่ายที่สูงขึ้นทำให้ไม่เหมาะสมสำหรับการถือครองในระยะยาว


ดังนั้น สำหรับเทรดเดอร์ที่เข้าใจความเสี่ยงและการเคลื่อนไหวของตลาด การใช้เลเวอเรจใน Futures อาจเป็นเครื่องมือที่มีประสิทธิภาพในการเพิ่มผลกำไร อย่างไรก็ตาม สำหรับนักลงทุนส่วนใหญ่ที่ต้องการความเรียบง่ายและความเสี่ยงที่ต่ำกว่า ETF ถือเป็นตัวเลือกที่น่าสนใจกว่า โดยเฉพาะอย่างยิ่งสำหรับมือใหม่ที่เริ่มต้นการลงทุน

Comparison of Futures vs Index ETFs - ebc

สรุปได้ว่า การเลือกระหว่าง Futures แล ETF ขึ้นอยู่กับเป้าหมายการลงทุน การยอมรับความเสี่ยง และสไตล์การเทรดของแต่ละบุคคล โดย Futures เหมาะสำหรับเทรดเดอร์ที่มีประสบการณ์ เนื่องจากให้ความยืดหยุ่นสูง สามารถใช้เลเวอเรจได้ และเปิดให้ซื้อขายเกือบตลอด 24 ชั่วโมง จึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับผู้ที่มองหาโอกาสในการเก็งกำไรหรือการเทรดที่ต้องการความรวดเร็ว ในขณะที่ ETF เป็นทางเลือกที่ง่ายและคุ้มค่าสำหรับนักลงทุนที่ต้องการการลงทุนระยะยาวที่มั่นคง ด้วยความเสี่ยงที่ต่ำกว่าและความซับซ้อนน้อยกว่า ETF จึงเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการสร้างพอร์ตการลงทุนที่มีความเสี่ยงต่ำและไม่ต้องการการจัดการที่ยุ่งยาก การเข้าใจความแตกต่างระหว่างเครื่องมือทั้งสองจะช่วยให้คุณสามารถเลือกเครื่องมือที่เหมาะสมกับเป้าหมายและสไตล์การลงทุนของคุณได้ดียิ่งขึ้น


คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ




บทความแนะนำ
สินค้าโภคภัณฑ์ หมายถึงอะไร และแตกต่างจากหุ้นอย่างไร?
DAX 30 vs FTSE 100 ตัวเลือกไหนดีกว่าสำหรับนักลงทุน?
เข้าใจ OHLC ในพริบตา! อ่านกราฟเทรดเหมือนมืออาชีพ
Short คริปโตอย่างโปร รับมือทุกตลาดผันผวน
ดัชนี Nikkei 225 คืออะไร?