Pegged Currency คืออะไร และทำงานอย่างไร?

2025-06-11
สรุป

Pegged Currency คือการตรึงค่าเงินของประเทศหนึ่งไว้กับอีกประเทศหนึ่ง ระบบนี้มักใช้กับประเทศขนาดเล็ก เพื่อดึงดูดนักลงทุน ลดความผันผวน และอัตราเงินเฟ้อต่ำ

Pegged Currency หรือ การตรึงค่าเงิน คือระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่สกุลเงินของประเทศหนึ่งถูกผูกติดกับสกุลเงินหลักอื่น เช่น ดอลลาร์สหรัฐ หรือยูโร แทนที่จะปล่อยให้อุปสงค์และอุปทานในตลาดเป็นตัวกำหนดอัตราแลกเปลี่ยน ธนาคารกลางของประเทศจะเข้ามาควบคุมเพื่อรักษาค่าเงินให้อยู่ในระดับที่กำหนดไว้


ระบบนี้ถูกใช้โดยประเทศที่ต้องการความมั่นคงของค่าเงิน โดยเฉพาะประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดเล็กหรือกำลังพัฒนา โดยการผูกค่าเงินกับสกุลเงินที่มีความมั่นคงมากกว่า พวกเขาหวังที่จะลดความผันผวน ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และรักษาอัตราเงินเฟ้อต่ำ


Pegged Currency คืออะไร?

What is a Currency Peg

ในระบบตรึงค่าเงิน รัฐบาลจะกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ระหว่างสกุลเงินของประเทศกับสกุลเงินต่างประเทศที่เป็นเกณฑ์ (หรือชุดของสกุลเงิน) โดยค่าของสกุลเงินภายในประเทศจะถูกรักษาให้อยู่ในช่วงแคบๆ รอบอัตราแลกเปลี่ยนที่กำหนดไว้


ตัวอย่างเช่น ดอลลาร์ฮ่องกงถูกตรึงไว้กับดอลลาร์สหรัฐที่ประมาณ 7.80 ดอลลาร์ฮ่องกง หากค่าของสกุลเงินเบี่ยงเบนออกนอกช่วงที่ยอมรับได้ ทางการเงินฮ่องกงจะเข้ามาแทรกแซง โดยการซื้อหรือขายสำรองเงินตราต่างประเทศเพื่อรักษาการตรึงค่านี้ไว้


มีประเภทหลักอยู่สองแบบคือ:


  • การตรึงค่าแบบฝ่ายเดียว: ประเทศหนึ่งตรึงค่าสกุลเงินของตนเองอย่างอิสระ

  • การตรึงค่าแบบร่วมกัน: สองประเทศขึ้นไปตรึงค่าสกุลเงินของตนเองเข้าหากันหรือเข้ากับสกุลเงินอ้างอิงร่วมกัน


ประเภทของระบบตรึงค่าเงิน


ระบบตรึงค่าเงินมีความยืดหยุ่นและโครงสร้างแตกต่างกัน โดยรูปแบบที่พบบ่อย ได้แก่:


  • ตรึงแข็ง (Hard Peg): สกุลเงินถูกตรึงไว้ที่ค่าคงที่อย่างแม่นยำ โดยแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลง ค่าเงินมักได้รับการสนับสนุนโดยคณะกรรมการเงินตรา (Currency Board) ที่มีสำรองเงินตราต่างประเทศเพียงพอ ตัวอย่างเช่น ฮ่องกง

  • ตรึงแบบปรับได้ (Adjustable Peg): อัตราแลกเปลี่ยนถูกตรึงไว้แต่ธนาคารกลางสามารถปรับเปลี่ยนได้ภายใต้เงื่อนไขเฉพาะ ใช้ในยุคเบรตตัน วูดส์

  • ตรึงแบบไต่ระดับ (Crawling Peg): อัตราแลกเปลี่ยนถูกปรับเปลี่ยนอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงเวลาหนึ่ง โดยปรับทีละน้อย เพื่อสะท้อนความแตกต่างของเงินเฟ้อหรือดุลการค้า วิธีนี้นิยมในประเทศที่นโยบายเศรษฐกิจกำลังพัฒนา

  • ช่วงแถบค่าเงิน (Currency Bands): ค่าเงินถูกปล่อยให้ผันผวนในช่วงแคบๆ รอบอัตรากลาง หากค่าเงินเข้าใกล้ขอบบนหรือล่าง จะมีการแทรกแซงเพื่อรักษาอัตราให้อยู่ในช่วงที่กำหนด

แต่ละระบบมีการประนีประนอมระหว่างความมั่นคงและความยืดหยุ่น และการเลือกใช้รูปแบบที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ทางเศรษฐกิจและศักยภาพของสถาบันในแต่ละประเทศ


การธนาคารกลางรักษาอัตราแลกเปลี่ยนแบบผูกค่าเงินอย่างไร


เพื่อรักษาการผูกค่าเงิน ธนาคารกลางต้องบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนอย่างแข็งขันโดยการเข้าแทรกแซงในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ วิธีการหลักได้แก่:


  • การซื้อหรือขายสกุลเงินต่างประเทศ: หากค่าเงินในประเทศอ่อนค่าต่ำกว่าระดับเป้าหมาย ธนาคารกลางจะขายเงินสำรองต่างประเทศและซื้อค่าเงินตัวเองเพื่อดันมูลค่าให้สูงขึ้น ในทางกลับกัน หากค่าเงินแข็งค่ามากเกินไป ธนาคารกลางจะซื้อเงินต่างประเทศและปล่อยเงินในประเทศเข้าสู่ระบบมากขึ้น

  • นโยบายอัตราดอกเบี้ย: การปรับอัตราดอกเบี้ยในประเทศสามารถส่งผลต่อการไหลของทุน อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นอาจดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศและช่วยสนับสนุนค่าเงินในประเทศ

  • การเก็บรักษาเงินสำรองต่างประเทศจำนวนมาก: การผูกค่าเงินต้องการเงินสำรองจำนวนมากเพื่อป้องกันการโจมตีจากนักเก็งกำไรและลดความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน

  • การควบคุมทุน (ในบางกรณี): เพื่อจำกัดการไหลของเงินทุนที่ก่อให้เกิดความปั่นป่วน บางประเทศอาจใช้มาตรการจำกัดชั่วคราวในการเคลื่อนย้ายทุน


การบริหารเครื่องมือเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรักษาความน่าเชื่อถือและความมั่นใจของนักลงทุน


สกุลเงินที่ผูกค่าเงินทั่วไปในปัจจุบัน


หลายประเทศยังคงใช้ระบบผูกค่าเงินโดยเฉพาะประเทศที่เน้นการค้าระหว่างประเทศหรือมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเขตสกุลเงินหลัก ตัวอย่างที่โดดเด่นได้แก่:


  • ฮ่องกง (HKD/USD) – ระบบผูกค่าเงินแข็งกับดอลลาร์สหรัฐที่เป็นที่รู้จักกันดี

  • ซาอุดีอาระเบีย (SAR/USD) – การผูกค่าเงินที่สำคัญต่อการส่งออกน้ำมันและการวางแผนเศรษฐกิจ

  • เดนมาร์ก (DKK/EUR) – ดำเนินการผูกค่าเงินอย่างเข้มงวดผ่านกลไก ERM II

  • สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (AED/USD) – ผูกค่าเงินกับดอลลาร์เพื่อสร้างเสถียรภาพในการไหลของรายได้จากน้ำมัน

  • บาห์เรนและโอมาน – รักษาการผูกค่าเงินกับดอลลาร์เพื่อสนับสนุนนโยบายการคลังอย่างต่อเนื่อง


บางประเทศเศรษฐกิจขนาดเล็กเลือกผูกค่าเงินกับตะกร้าสกุลเงิน โดยผสมผสานหลายสกุลเงินต่างประเทศเพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาสกุลเงินเดียวและกระจายความเสี่ยงออกไป


Peg กับ Floating: ความแตกต่าง


การเลือกใช้ระบบผูกค่าเงินหรือระบบลอยตัวค่าเงินสะท้อนถึงลำดับความสำคัญทางเศรษฐกิจและความแข็งแกร่งของสถาบันในแต่ละประเทศ ระบบแต่ละแบบมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน:


ระบบผูกค่าเงิน (Pegged Systems):

  • ข้อดี: อัตราแลกเปลี่ยนมีความมั่นคง ลดอัตราเงินเฟ้อ เพิ่มความเชื่อมั่นให้นักลงทุน และช่วยวางแผนการค้าขายได้ดีขึ้น

  • ข้อเสีย: สูญเสียอิสระในการใช้นโยบายการเงิน เสี่ยงต่อการโจมตีทางเก็งกำไร และต้องมีสำรองเงินตราต่างประเทศจำนวนมาก


ระบบลอยตัวค่าเงิน (Floating Systems):

  • ข้อดี: มีความยืดหยุ่นสูงในการตอบสนองต่อช็อกทางเศรษฐกิจ มีระบบปรับตัวเอง และไม่ต้องถือสำรองเงินตราจำนวนมาก

  • ข้อเสีย: อัตราแลกเปลี่ยนผันผวน เสี่ยงต่อเงินเฟ้อ และสร้างความไม่แน่นอนมากขึ้นสำหรับธุรกิจและนักลงทุน


หลายประเทศเลือกใช้ระบบลอยตัวแบบมีการจัดการ (Managed Float) ซึ่งให้ตลาดกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเป็นหลัก แต่ยังมีการแทรกแซงเป็นบางครั้งเพื่อควบคุมความผันผวนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม


สรุป


Pegged Currency หรือ ระบบผูกค่าเงิน คือกลไกที่ช่วยสร้างความมั่นคงให้กับหลายเศรษฐกิจ โดยเฉพาะประเทศที่พึ่งพาการค้าระหว่างประเทศสูงหรือไม่มีตลาดการเงินที่ลึกซึ้ง แม้ว่าระบบนี้จะช่วยสร้างความคาดเดาได้และวินัยทางการเงิน แต่ก็ต้องการการบริหารจัดการอย่างระมัดระวังและมีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศจำนวนมาก


ในขณะที่สภาพการเงินโลกเปลี่ยนแปลงไป บางประเทศจึงพิจารณาปรับเปลี่ยนระบบผูกค่าเงินมาใช้ระบบที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น อย่างไรก็ตาม สำหรับบางประเทศโดยเฉพาะในภูมิภาคที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับเขตเงินตราหลัก ระบบผูกค่าเงินยังคงเป็นส่วนสำคัญของนโยบายเศรษฐกิจของพวกเขา


การเข้าใจว่าระบบเหล่านี้ทำงานอย่างไรและเพราะเหตุใดจึงสำคัญ ไม่เพียงแต่สำหรับนักเศรษฐศาสตร์เท่านั้น แต่ยังสำคัญสำหรับนักลงทุน ธุรกิจ และผู้กำหนดนโยบายที่ต้องดำเนินงานในโลกการเงินที่เชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้นทุกวันด้วยเช่นกัน


คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ

เทรดทอง Gold Spot VS Gold Future ต่างกันยังไง? รู้ไว้ก่อนลงทุน!

เทรดทอง Gold Spot VS Gold Future ต่างกันยังไง? รู้ไว้ก่อนลงทุน!

เรียนรู้การเทรดทอง Gold Spot อย่างละเอียด ตั้งแต่ความหมาย วิธีเทรด ข้อแตกต่างกับ Gold Future ปัจจัยกระทบราคา และเทคนิคทำกำไรในตลาดขาขึ้น-ขาลง

2025-06-20
การสิ้นสุดเส้นทแยงมุมเข้ากับกลยุทธ์การซื้อขายของคุณอย่างไร?

การสิ้นสุดเส้นทแยงมุมเข้ากับกลยุทธ์การซื้อขายของคุณอย่างไร?

เรียนรู้วิธีระบุรูปแบบแนวทแยงที่สิ้นสุด ทำความเข้าใจโครงสร้าง และค้นหาสัญญาณการกลับตัวที่สำคัญโดยใช้การวิเคราะห์คลื่นเอลเลียต

2025-06-20
ข้อใดไม่ใช่ตัวอย่างของกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยง?

ข้อใดไม่ใช่ตัวอย่างของกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยง?

ข้อใดไม่ใช่ตัวอย่างของกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงในการซื้อขาย เปิดเผยความเข้าใจผิดทั่วไปที่ทำให้เกิดการสูญเสียในการซื้อขาย

2025-06-20