Pegged Currency คือการตรึงค่าเงินของประเทศหนึ่งไว้กับอีกประเทศหนึ่ง ระบบนี้มักใช้กับประเทศขนาดเล็ก เพื่อดึงดูดนักลงทุน ลดความผันผวน และอัตราเงินเฟ้อต่ำ
Pegged Currency หรือ การตรึงค่าเงิน คือระบบอัตราแลกเปลี่ยนที่สกุลเงินของประเทศหนึ่งถูกผูกติดกับสกุลเงินหลักอื่น เช่น ดอลลาร์สหรัฐ หรือยูโร แทนที่จะปล่อยให้อุปสงค์และอุปทานในตลาดเป็นตัวกำหนดอัตราแลกเปลี่ยน ธนาคารกลางของประเทศจะเข้ามาควบคุมเพื่อรักษาค่าเงินให้อยู่ในระดับที่กำหนดไว้
ระบบนี้ถูกใช้โดยประเทศที่ต้องการความมั่นคงของค่าเงิน โดยเฉพาะประเทศที่มีเศรษฐกิจขนาดเล็กหรือกำลังพัฒนา โดยการผูกค่าเงินกับสกุลเงินที่มีความมั่นคงมากกว่า พวกเขาหวังที่จะลดความผันผวน ดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศ และรักษาอัตราเงินเฟ้อต่ำ
ในระบบตรึงค่าเงิน รัฐบาลจะกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนคงที่ระหว่างสกุลเงินของประเทศกับสกุลเงินต่างประเทศที่เป็นเกณฑ์ (หรือชุดของสกุลเงิน) โดยค่าของสกุลเงินภายในประเทศจะถูกรักษาให้อยู่ในช่วงแคบๆ รอบอัตราแลกเปลี่ยนที่กำหนดไว้
ตัวอย่างเช่น ดอลลาร์ฮ่องกงถูกตรึงไว้กับดอลลาร์สหรัฐที่ประมาณ 7.80 ดอลลาร์ฮ่องกง หากค่าของสกุลเงินเบี่ยงเบนออกนอกช่วงที่ยอมรับได้ ทางการเงินฮ่องกงจะเข้ามาแทรกแซง โดยการซื้อหรือขายสำรองเงินตราต่างประเทศเพื่อรักษาการตรึงค่านี้ไว้
มีประเภทหลักอยู่สองแบบคือ:
การตรึงค่าแบบฝ่ายเดียว: ประเทศหนึ่งตรึงค่าสกุลเงินของตนเองอย่างอิสระ
การตรึงค่าแบบร่วมกัน: สองประเทศขึ้นไปตรึงค่าสกุลเงินของตนเองเข้าหากันหรือเข้ากับสกุลเงินอ้างอิงร่วมกัน
ระบบตรึงค่าเงินมีความยืดหยุ่นและโครงสร้างแตกต่างกัน โดยรูปแบบที่พบบ่อย ได้แก่:
ตรึงแข็ง (Hard Peg): สกุลเงินถูกตรึงไว้ที่ค่าคงที่อย่างแม่นยำ โดยแทบไม่มีการเปลี่ยนแปลง ค่าเงินมักได้รับการสนับสนุนโดยคณะกรรมการเงินตรา (Currency Board) ที่มีสำรองเงินตราต่างประเทศเพียงพอ ตัวอย่างเช่น ฮ่องกง
ตรึงแบบปรับได้ (Adjustable Peg): อัตราแลกเปลี่ยนถูกตรึงไว้แต่ธนาคารกลางสามารถปรับเปลี่ยนได้ภายใต้เงื่อนไขเฉพาะ ใช้ในยุคเบรตตัน วูดส์
ตรึงแบบไต่ระดับ (Crawling Peg): อัตราแลกเปลี่ยนถูกปรับเปลี่ยนอย่างค่อยเป็นค่อยไปในช่วงเวลาหนึ่ง โดยปรับทีละน้อย เพื่อสะท้อนความแตกต่างของเงินเฟ้อหรือดุลการค้า วิธีนี้นิยมในประเทศที่นโยบายเศรษฐกิจกำลังพัฒนา
ช่วงแถบค่าเงิน (Currency Bands): ค่าเงินถูกปล่อยให้ผันผวนในช่วงแคบๆ รอบอัตรากลาง หากค่าเงินเข้าใกล้ขอบบนหรือล่าง จะมีการแทรกแซงเพื่อรักษาอัตราให้อยู่ในช่วงที่กำหนด
แต่ละระบบมีการประนีประนอมระหว่างความมั่นคงและความยืดหยุ่น และการเลือกใช้รูปแบบที่เหมาะสมขึ้นอยู่กับวัตถุประสงค์ทางเศรษฐกิจและศักยภาพของสถาบันในแต่ละประเทศ
เพื่อรักษาการผูกค่าเงิน ธนาคารกลางต้องบริหารจัดการอัตราแลกเปลี่ยนอย่างแข็งขันโดยการเข้าแทรกแซงในตลาดแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศ วิธีการหลักได้แก่:
การซื้อหรือขายสกุลเงินต่างประเทศ: หากค่าเงินในประเทศอ่อนค่าต่ำกว่าระดับเป้าหมาย ธนาคารกลางจะขายเงินสำรองต่างประเทศและซื้อค่าเงินตัวเองเพื่อดันมูลค่าให้สูงขึ้น ในทางกลับกัน หากค่าเงินแข็งค่ามากเกินไป ธนาคารกลางจะซื้อเงินต่างประเทศและปล่อยเงินในประเทศเข้าสู่ระบบมากขึ้น
นโยบายอัตราดอกเบี้ย: การปรับอัตราดอกเบี้ยในประเทศสามารถส่งผลต่อการไหลของทุน อัตราดอกเบี้ยสูงขึ้นอาจดึงดูดการลงทุนจากต่างประเทศและช่วยสนับสนุนค่าเงินในประเทศ
การเก็บรักษาเงินสำรองต่างประเทศจำนวนมาก: การผูกค่าเงินต้องการเงินสำรองจำนวนมากเพื่อป้องกันการโจมตีจากนักเก็งกำไรและลดความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน
การควบคุมทุน (ในบางกรณี): เพื่อจำกัดการไหลของเงินทุนที่ก่อให้เกิดความปั่นป่วน บางประเทศอาจใช้มาตรการจำกัดชั่วคราวในการเคลื่อนย้ายทุน
การบริหารเครื่องมือเหล่านี้อย่างมีประสิทธิภาพเป็นสิ่งจำเป็นเพื่อรักษาความน่าเชื่อถือและความมั่นใจของนักลงทุน
หลายประเทศยังคงใช้ระบบผูกค่าเงินโดยเฉพาะประเทศที่เน้นการค้าระหว่างประเทศหรือมีความสัมพันธ์ใกล้ชิดกับเขตสกุลเงินหลัก ตัวอย่างที่โดดเด่นได้แก่:
ฮ่องกง (HKD/USD) – ระบบผูกค่าเงินแข็งกับดอลลาร์สหรัฐที่เป็นที่รู้จักกันดี
ซาอุดีอาระเบีย (SAR/USD) – การผูกค่าเงินที่สำคัญต่อการส่งออกน้ำมันและการวางแผนเศรษฐกิจ
เดนมาร์ก (DKK/EUR) – ดำเนินการผูกค่าเงินอย่างเข้มงวดผ่านกลไก ERM II
สหรัฐอาหรับเอมิเรตส์ (AED/USD) – ผูกค่าเงินกับดอลลาร์เพื่อสร้างเสถียรภาพในการไหลของรายได้จากน้ำมัน
บาห์เรนและโอมาน – รักษาการผูกค่าเงินกับดอลลาร์เพื่อสนับสนุนนโยบายการคลังอย่างต่อเนื่อง
บางประเทศเศรษฐกิจขนาดเล็กเลือกผูกค่าเงินกับตะกร้าสกุลเงิน โดยผสมผสานหลายสกุลเงินต่างประเทศเพื่อลดความเสี่ยงจากการพึ่งพาสกุลเงินเดียวและกระจายความเสี่ยงออกไป
การเลือกใช้ระบบผูกค่าเงินหรือระบบลอยตัวค่าเงินสะท้อนถึงลำดับความสำคัญทางเศรษฐกิจและความแข็งแกร่งของสถาบันในแต่ละประเทศ ระบบแต่ละแบบมีข้อดีและข้อจำกัดที่แตกต่างกันอย่างชัดเจน:
ระบบผูกค่าเงิน (Pegged Systems):
ข้อดี: อัตราแลกเปลี่ยนมีความมั่นคง ลดอัตราเงินเฟ้อ เพิ่มความเชื่อมั่นให้นักลงทุน และช่วยวางแผนการค้าขายได้ดีขึ้น
ข้อเสีย: สูญเสียอิสระในการใช้นโยบายการเงิน เสี่ยงต่อการโจมตีทางเก็งกำไร และต้องมีสำรองเงินตราต่างประเทศจำนวนมาก
ระบบลอยตัวค่าเงิน (Floating Systems):
ข้อดี: มีความยืดหยุ่นสูงในการตอบสนองต่อช็อกทางเศรษฐกิจ มีระบบปรับตัวเอง และไม่ต้องถือสำรองเงินตราจำนวนมาก
ข้อเสีย: อัตราแลกเปลี่ยนผันผวน เสี่ยงต่อเงินเฟ้อ และสร้างความไม่แน่นอนมากขึ้นสำหรับธุรกิจและนักลงทุน
หลายประเทศเลือกใช้ระบบลอยตัวแบบมีการจัดการ (Managed Float) ซึ่งให้ตลาดกำหนดอัตราแลกเปลี่ยนเป็นหลัก แต่ยังมีการแทรกแซงเป็นบางครั้งเพื่อควบคุมความผันผวนให้อยู่ในระดับที่เหมาะสม
Pegged Currency หรือ ระบบผูกค่าเงิน คือกลไกที่ช่วยสร้างความมั่นคงให้กับหลายเศรษฐกิจ โดยเฉพาะประเทศที่พึ่งพาการค้าระหว่างประเทศสูงหรือไม่มีตลาดการเงินที่ลึกซึ้ง แม้ว่าระบบนี้จะช่วยสร้างความคาดเดาได้และวินัยทางการเงิน แต่ก็ต้องการการบริหารจัดการอย่างระมัดระวังและมีทุนสำรองเงินตราต่างประเทศจำนวนมาก
ในขณะที่สภาพการเงินโลกเปลี่ยนแปลงไป บางประเทศจึงพิจารณาปรับเปลี่ยนระบบผูกค่าเงินมาใช้ระบบที่มีความยืดหยุ่นมากขึ้น อย่างไรก็ตาม สำหรับบางประเทศโดยเฉพาะในภูมิภาคที่มีความสัมพันธ์แน่นแฟ้นกับเขตเงินตราหลัก ระบบผูกค่าเงินยังคงเป็นส่วนสำคัญของนโยบายเศรษฐกิจของพวกเขา
การเข้าใจว่าระบบเหล่านี้ทำงานอย่างไรและเพราะเหตุใดจึงสำคัญ ไม่เพียงแต่สำหรับนักเศรษฐศาสตร์เท่านั้น แต่ยังสำคัญสำหรับนักลงทุน ธุรกิจ และผู้กำหนดนโยบายที่ต้องดำเนินงานในโลกการเงินที่เชื่อมโยงกันอย่างใกล้ชิดมากขึ้นทุกวันด้วยเช่นกัน
คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ
เรียนรู้การเทรดทอง Gold Spot อย่างละเอียด ตั้งแต่ความหมาย วิธีเทรด ข้อแตกต่างกับ Gold Future ปัจจัยกระทบราคา และเทคนิคทำกำไรในตลาดขาขึ้น-ขาลง
2025-06-20เรียนรู้วิธีระบุรูปแบบแนวทแยงที่สิ้นสุด ทำความเข้าใจโครงสร้าง และค้นหาสัญญาณการกลับตัวที่สำคัญโดยใช้การวิเคราะห์คลื่นเอลเลียต
2025-06-20ข้อใดไม่ใช่ตัวอย่างของกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงในการซื้อขาย เปิดเผยความเข้าใจผิดทั่วไปที่ทำให้เกิดการสูญเสียในการซื้อขาย
2025-06-20