Active vs Passive ETF: ความแตกต่างสำคัญที่นักเทรดควรรู้

2025-06-04
สรุป

เจาะลึกความต่างของ Active vs Passive ETF ทั้งด้านค่าใช้จ่าย ความเสี่ยง และผลตอบแทน เพื่อเลือกกองทุนที่เหมาะกับเป้าหมายลงทุนของคุณ

กองทุน ETF กำลังเป็นที่นิยมอย่างมากในหมู่นักลงทุน ไม่ว่าจะมือใหม่หรือมือโปร แต่กองทุน ETF ก็มีหลายแบบที่แตกต่างกัน หนึ่งในความแตกต่างที่สำคัญคือ ระหว่าง ETF แบบ Active และ Passive ถึงแม้ทั้งสองจะช่วยให้คุณลงทุนในหุ้นหรือตราสารหนี้ได้เหมือนกัน แต่การบริหารจัดการและผลลัพธ์ที่ได้กลับไม่เหมือนกัน การเข้าใจความต่างเหล่านี้จึงช่วยให้คุณเลือกลงทุนได้อย่างมั่นใจและเหมาะสมกับตัวเองมากขึ้น


ความแตกต่างของกองทุน Active vs Passive ETF ในรูปแบบการบริหารจัดการ

ความแตกต่างของกองทุนActive vs Passive ETFในรูปแบบการบริหารจัดการ

ความแตกต่างหลักระหว่างกองทุน ETF แบบ Active และ Passive อยู่ที่วิธีการบริหารจัดการ กองทุน ETF แบบ Passive ถูกออกแบบมาให้ติดตามดัชนีตลาด ไม่ได้พยายามทำผลตอบแทนให้ดีกว่าตลาด แต่เน้นการสะท้อนดัชนีนั้นอย่างตรงไปตรงมา เช่น กองทุน ETF แบบ Passive อาจติดตามดัชนี FTSE 100 โดยถือหุ้นในสัดส่วนเดียวกับดัชนี เป็นวิธีที่เน้นกฎเกณฑ์ชัดเจนและมีการแทรกแซงจากมนุษย์น้อยมาก


ส่วนกองทุน ETF แบบ Active จะมีผู้จัดการกองทุนที่ตัดสินใจซื้อขายสินทรัพย์ทุกวัน โดยมีเป้าหมายที่จะทำผลตอบแทนให้ดีกว่าตลาด ซึ่งอาจดูน่าสนใจกว่า เพราะใคร ๆ ก็อยากได้ผลตอบแทนสูงกว่า แต่การบริหารแบบนี้ต้องใช้การวิเคราะห์มากขึ้น การซื้อขายบ่อยขึ้น และแน่นอนว่ามีค่าใช้จ่ายสูงกว่า


ดังนั้น ความแตกต่างสำคัญก็คือกองทุน ETF แบบ Passive จะใช้กลยุทธ์ที่กำหนดไว้ตายตัวและการบริหารจัดการจำกัด ขณะที่กองทุน ETF แบบ Active จะพึ่งพาความสามารถและการตัดสินใจของผู้เชี่ยวชาญที่พยายามเอาชนะดัชนีมาตรฐาน


ผลตอบแทนในอดีตของกองทุน Active vs Passive ETF


ประสิทธิภาพของ ETF แบบ Active และ Passive ระหว่างช่วงที่ตลาดตกต่ำ

เมื่อพูดถึงผลการลงทุน หลายคนอาจคิดว่ากองทุน ETF แบบ Active ที่มีผู้เชี่ยวชาญดูแล จะให้ผลตอบแทนดีกว่าแบบ Passive แต่ข้อมูลในอดีตกลับไม่ได้สนับสนุนแนวคิดนี้เสมอไป


ในระยะยาว กองทุนแบบ Passive หลายกองทำผลตอบแทนได้ดีกว่าแบบ Active โดยเฉพาะเมื่อหักค่าใช้จ่ายแล้ว เพราะกองทุน Passive ไม่มีค่าใช้จ่ายในการบริหารจัดการเชิงรุก อีกทั้งการเอาชนะตลาดอย่างต่อเนื่องนั้นยากมาก แม้แต่ผู้เชี่ยวชาญก็ทำได้ไม่ง่าย งานวิจัยหลายชิ้น รวมถึงรายงาน SPIVA ยังยืนยันว่ากองทุน Active ส่วนใหญ่ไม่สามารถทำผลตอบแทนเหนือกว่าดัชนีอ้างอิงได้ในช่วง 10 ปีที่ผ่านมา


อย่างไรก็ตาม กองทุนแบบ Active ก็ไม่ใช่ว่าจะไม่เคยทำผลตอบแทนดี บางกองสามารถทำได้เหนือกว่าตลาดในบางช่วงเวลา โดยเฉพาะตอนตลาดผันผวนหรือขาลง เพราะผู้จัดการกองทุนที่มีประสบการณ์บางคนสามารถบริหารจัดการได้ดีกว่ากองทุนที่ต้องตามดัชนีอย่างเดียว


ทำไมกองทุน ETF แบบ Passive มักมีค่าธรรมเนียมต่ำกว่า?


ข้อได้เปรียบที่ชัดเจนของกองทุน ETF แบบ Passive คือเรื่องต้นทุนเนื่องจากกองทุนเหล่านี้ติดตามดัชนีคงที่ จึงไม่จำเป็นต้องจ้างผู้จัดการกองทุนหรือทีมวิเคราะห์มาคอยตัดสินใจซื้อขาย ทำให้ค่าธรรมเนียมบริหารจัดการต่ำมาก โดยทั่วไปมักต่ำกว่า 0.1% ต่อปี เช่น กองทุนจาก Vanguard และ iShares ที่มีค่าใช้จ่ายต่ำมาก


ในขณะที่กองทุน ETF แบบ Active จะมีค่าธรรมเนียมสูงกว่าอยู่ในช่วงประมาณ 0.5% ถึง 1% ต่อปี ถึงแม้ตัวเลขนี้อาจดูไม่มาก แต่หากนานไปก็ส่งผลกระทบต่อผลตอบแทนของคุณ โดยเฉพาะถ้ากองทุนไม่ได้ทำผลตอบแทนดีกว่าตลาดอย่างต่อเนื่อง


ดังนั้น หากไม่มีเหตุผลที่มั่นใจว่ากองทุนแบบ Active จะทำผลตอบแทนได้เหนือกว่า ค่าใช้จ่ายที่ต่างกันนี้ก็ทำให้กองทุนแบบ Passive ดูน่าสนใจกว่าสำหรับนักลงทุนระยะยาว


เปรียบเทียบความเสี่ยงและความมั่นคงของ Active vs Passive ETF


ความเสี่ยงของกองทุน ETF แบบ Active และ Passive มีความแตกต่างกันอย่างชัดเจน กองทุนแบบ Passive มักจะมีความเสถียรมากกว่า เพราะเพียงแค่ติดตามดัชนีที่กำหนดไว้ ทำให้ผู้ลงทุนรู้ว่าพอร์ตจะกระจายอยู่ในหุ้นหรือตราสารในสัดส่วนที่กว้างและคงที่ อีกทั้งยังมีการซื้อขายน้อย จึงไม่ค่อยมีความผันผวนมากนัก


ในทางตรงกันข้าม กองทุนแบบ Active มักมีความเสี่ยงและความผันผวนสูงกว่า เนื่องจากผู้จัดการกองทุนจะซื้อขายอย่างต่อเนื่องตามสถานการณ์และการคาดการณ์ตลาด ทำให้พอร์ตลงทุนมีการเปลี่ยนแปลงมาก และอาจมีความผันผวนสูง โดยเฉพาะเมื่อผู้จัดการเน้นลงทุนในหุ้นกลุ่มเฉพาะหรือธีมที่มีความเสี่ยงมากขึ้น


อย่างไรก็ตาม ไม่มีกลยุทธ์แบบ Active ใดที่ปราศจากความผิดพลาดได้ การตัดสินใจผิดหรือเหตุการณ์ตลาดที่ไม่คาดคิด อาจส่งผลให้ผลตอบแทนต่ำกว่าที่คาดไว้ แต่ในช่วงตลาดขาลง กองทุน Active ที่บริหารอย่างมีฝีมือ สามารถช่วยลดความเสียหายได้ดีกว่ากองทุนที่ติดตามดัชนีทั่วไป


ดังนั้น หากคุณต้องการความมั่นคงและความเสี่ยงต่ำ กองทุนแบบ Passive น่าจะตอบโจทย์มากกว่า แต่ถ้าคุณพร้อมรับความไม่แน่นอน และเชื่อมั่นในกลยุทธ์ของผู้จัดการกองทุน กองทุนแบบ Active อาจให้ผลตอบแทนที่สูงกว่าในระยะยาว


เลือกอย่างไรให้เหมาะกับพอร์ต: Active vs Passive ETF?


การตัดสินใจระหว่างกองทุนแบบ Active และ Passive ส่วนใหญ่ขึ้นอยู่กับเป้าหมายการลงทุน ระดับความเสี่ยงที่รับได้ และความต้องการมีส่วนร่วมในการบริหารพอร์ต หากคุณลงทุนระยะยาว เช่น เพื่อเงินเกษียณ หรือเก็บเงินดาวน์บ้าน กองทุนแบบ Passive จะเป็นตัวเลือกที่ดี เพราะมีต้นทุนต่ำและไม่ต้องดูแลมาก เหมาะกับนักลงทุนที่เน้นถือยาวและไม่อยากกังวลกับความผันผวนระยะสั้น


แต่กองทุนแบบ Active อาจเหมาะกับคนที่ต้องการความยืดหยุ่น หรืออยากลงทุนในกลุ่มอุตสาหกรรมเฉพาะ เช่น เทคโนโลยีเกิดใหม่ นวัตกรรมใหม่ หรือหุ้นที่มีมูลค่าต่ำ กองทุนแบบ Active ยังเป็นตัวเลือกที่ดีในช่วงตลาดผันผวน เพราะผู้จัดการมืออาชีพอาจช่วยปกป้องเงินลงทุนได้ดีกว่ากองทุนติดตามดัชนี


นักลงทุนหลายคนมักผสมผสานทั้งสองแบบ โดยใช้กองทุน Passive เป็นฐานในพอร์ตเพื่อความมั่นคงและลดต้นทุน และเลือกกองทุน Active เพื่อเน้นโอกาสเติบโตสูงหรือธีมเฉพาะทาง


สรุป


กองทุน ETF แบบ Active และ Passive ต่างก็มีข้อดีข้อเสียของตัวเอง กองทุนแบบ Passive นั้นง่ายและมีต้นทุนต่ำ เหมาะกับคนที่ชอบความเรียบง่ายและไม่อยากเสียค่าธรรมเนียมสูง แต่ผลตอบแทนอาจไม่โดดเด่นนัก ในขณะที่กองทุนแบบ Active มีโอกาสสร้างผลตอบแทนสูงและมีความยืดหยุ่นมากกว่า แต่ก็มาพร้อมกับค่าธรรมเนียมที่สูงกว่า และความเสี่ยงที่มากขึ้น การเข้าใจความแตกต่างเหล่านี้ และรู้ว่ากองทุนแบบไหนเหมาะกับเป้าหมายและสไตล์ลงทุนของคุณ จะช่วยให้ตัดสินใจได้อย่างมั่นใจ ไม่ว่าจะเลือกความสบายใจจากกองทุน Passive หรือหวังโอกาสสร้างผลตอบแทนจากกองทุน Active สิ่งสำคัญที่สุดคือรู้ว่าคุณได้อะไรและเพราะเหตุใดกองทุนนั้นจึงเหมาะกับคุณจริง ๆ


Active vs Passive ETF: เปรียบเทียบความแตกต่าง
ด้าน Active ETF Passive ETF
การบริหารจัดการ บริหารแบบเชิงรุก (มีผู้จัดการบริหาร) ติดตามดัชนี (ตามดัชนีที่กำหนดไว้)
วัตถุประสงค์ ต้องการเอาชนะตลาด ต้องการสะท้อนผลตอบแทนของตลาด
ค่าธรรมเนียม สูงกว่า ต่ำกว่า
การซื้อขาย ซื้อขายบ่อยครั้ง ซื้อขายน้อย
ผลการดำเนินงาน อาจได้ผลตอบแทนสูงหรือต่ำกว่า ผลตอบแทนใกล้เคียงกับดัชนี
ความโปร่งใส รายงานข้อมูลน้อยกว่า โปร่งใสและรายงานบ่อย
เสี่ยง อาจมีความผันผวนสูงกว่า มักมีความเสถียรมากกว่า
ประสิทธิภาพภาษี ต่ำกว่า สูงกว่า
เหมาะสำหรับ กลยุทธ์ระยะสั้นหรือลงทุนเฉพาะกลุ่ม การลงทุนระยะยาว ต้นทุนต่ำ

คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ

เทรดทอง Gold Spot VS Gold Future ต่างกันยังไง? รู้ไว้ก่อนลงทุน!

เทรดทอง Gold Spot VS Gold Future ต่างกันยังไง? รู้ไว้ก่อนลงทุน!

เรียนรู้การเทรดทอง Gold Spot อย่างละเอียด ตั้งแต่ความหมาย วิธีเทรด ข้อแตกต่างกับ Gold Future ปัจจัยกระทบราคา และเทคนิคทำกำไรในตลาดขาขึ้น-ขาลง

2025-06-20
การสิ้นสุดเส้นทแยงมุมเข้ากับกลยุทธ์การซื้อขายของคุณอย่างไร?

การสิ้นสุดเส้นทแยงมุมเข้ากับกลยุทธ์การซื้อขายของคุณอย่างไร?

เรียนรู้วิธีระบุรูปแบบแนวทแยงที่สิ้นสุด ทำความเข้าใจโครงสร้าง และค้นหาสัญญาณการกลับตัวที่สำคัญโดยใช้การวิเคราะห์คลื่นเอลเลียต

2025-06-20
ข้อใดไม่ใช่ตัวอย่างของกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยง?

ข้อใดไม่ใช่ตัวอย่างของกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยง?

ข้อใดไม่ใช่ตัวอย่างของกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงในการซื้อขาย เปิดเผยความเข้าใจผิดทั่วไปที่ทำให้เกิดการสูญเสียในการซื้อขาย

2025-06-20