Fear of Missing Out คืออะไร? อธิบายง่าย เข้าใจไว

2025-05-28
สรุป

รู้จัก Fear of Missing Out ในการเทรด ว่าทำไมถึงมีผลต่อการตัดสินใจ พร้อมตัวอย่างเทรดด้วยอารมณ์ที่ทำให้ขาดทุนจริง

หนึ่งในอารมณ์ที่ทรงพลังและพบบ่อยที่สุดที่ส่งผลต่อเทรดเดอร์คือ Fear of Missing Out (FOMO) หรือความกลัวที่จะพลาดโอกาส ไม่ว่าจะเป็นการเห็นหุ้นพุ่งสูงขึ้นอย่างรวดเร็ว หรือได้ยินข่าวลือถึงกระแสฮิตใหม่ ๆ ที่กำลัง "พุ่งสูงจนสุดขอบฟ้า" ความรู้สึกอยากเข้าไปลงทุนโดยไม่มีแผนนั้นมักจะครอบงำใจได้ง่าย


Fear of Missing Out ในการเทรดหมายถึงปฏิกิริยาทางอารมณ์ที่ทำให้นักเทรดซื้อหรือขายโดยไม่ทันคิด เนื่องจากกลัวว่าจะพลาดโอกาส แม้ว่าจะเป็นเรื่องธรรมชาติที่จะรู้สึกตื่นเต้นในช่วงตลาดเคลื่อนไหวแรง แต่การตัดสินใจโดยไม่มีกลยุทธ์มักนำไปสู่การขาดทุน


ในบทความนี้ เราจะเจาะลึกว่า Fear of Missing Out คืออะไร ทำไมเนักเทรดถึงได้รับผลกระทบ พร้อมตัวอย่างจริง และแนวทางการรับมือเพื่อให้คุณเทรดด้วยความมั่นใจ ไม่ใช่ความตื่นตระหนก


Fear of Missing Out คืออะไร?

Fear of Missing Out คืออะไร


Fear of Missing Out (FOMO) คือความกลัวที่จะพลาดโอกาสดี ๆ ที่คนอื่นกำลังทำกำไรอยู่ ในการเทรดจะหมายถึงความรู้สึกวิตกกังวลว่าเราอาจพลาดโอกาสทำกำไรเมื่อตลาดกำลังเคลื่อนไหวแรง ๆ ความรู้สึกนี้มักเกิดขึ้นเมื่อ:

  • ราคาหุ้นหรือสินทรัพย์พึ่งขึ้นอย่างรวดเร็ว

  • ทุกคนบนโซเชียลมีเดียกำลังพูดถึงการเทรดนั้นอย่างคึกคัก

  • ข่าวสารต่าง ๆ สร้างความฮือฮาเกี่ยวกับการเคลื่อนไหวของตลาด


นักเทรดที่มีอาการ FOMO มักจะรีบเข้าเทรดโดยไม่วิเคราะห์อย่างรอบคอบ มองข้ามการบริหารความเสี่ยง และมักจบลงด้วยการซื้อในราคาสูงหรือขายต่ำ


ทำไมเราถึงมีอาการ FOMO? ปัจจัยกระตุ้นทางจิตวิทยา

FOMO เกิดจากพฤติกรรมและความรู้สึกทางจิตใจหลายอย่าง เช่น:


1. Herd Mentality (พฤติกรรมตามฝูงชน)

แม้ว่าการขึ้นลงของราคาจะไม่สอดคล้องกับปัจจัยพื้นฐาน แต่เมื่อเห็นคนส่วนใหญ่ซื้อกันก็เกิดแรงกดดันให้เราต้องตาม


2. อิทธิพลของโซเชียลมีเดีย

แพลตฟอร์มเช่น Twitter, Reddit หรือ Discord ทำให้ข่าวลือและกระแสหุ้นกระจายอย่างรวดเร็ว


3. อคติต่อความเคลื่อนไหวล่าสุด

การเคลื่อนไหวของราคาล่าสุดมีอิทธิพลมากต่อการตัดสินใจ หากสินทรัพย์เพิ่มขึ้น 20% นักเทรดมักคาดหวังว่าจะขึ้นต่อเนื่อง


4. ความโลภ

ความอยากได้กำไรเร็ว ๆ ทำให้เราตัดสินใจแบบไม่คิดหน้าคิดหลัง


5. กลัวเสียใจ

กลัวว่าถ้าไม่รีบเข้าเทรดแล้วตลาดกลับพุ่งขึ้น จะรู้สึกเสียใจที่ไม่ได้เข้าร่วม


FOMO ปรากฏในตลาดการเทรดยังไง? ตัวอย่างจริงที่เข้าใจง่าย

FOMO ปรากฏในตลาดการเทรดยังไง? ตัวอย่างจริงที่เข้าใจง่าย

1) FOMO ในการเทรด Forex 

ในตลาด Forex มักจะเกิดอาการ FOMO ในช่วง:

  • ข่าวเศรษฐกิจสำคัญประกาศออกมา (เช่น การจ้างงานนอกภาคเกษตร การตัดสินใจเกี่ยวกับอัตราดอกเบี้ย)

  • คู่สกุลเงินที่ทะลุแนวต้านอย่างกะทันหัน (เช่น EUR/USD ทะลุแนวต้าน)


ตัวอย่างพฤติกรรม FOMO :

  • เข้าเทรดทันทีหลังจากเห็นแท่งเทียนขนาดใหญ่ โดยกลัวว่าจะพลาดแนวโน้มสำคัญ

  • การใช้เลเวอเรจมากเกินไปในช่วงที่มีข่าวผันผวน โดยไตั้งจุดตัดขาดทุน

  • สลับคู่บ่อยๆ เพื่อจับคู่ที่กำลัง "เคลื่อนไหว"


ความเสี่ยง : ตลาด Forex มีเลเวอเรจสูงและเคลื่อนไหวรวดเร็ว  FOMO อาจทำให้โดนเรียกเพิ่มเงินหรือโดนตัดขาดทุนเร็วมาก


2) FOMO ในการเทรดหุ้น

ในตลาดหุ้น FOMO มักเกิดในช่วง:

  • การประกาศผลประกอบการ

  • หุ้น Meme (เช่น GME, AMC)

  • กระแสข่าว IPO หรือข่าวดัง


ตัวอย่างพฤติกรรม FOMO :

  • การซื้อหุ้นหลังจากที่ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 30% ภายในหนึ่งวัน ตามกระแสข่าว

  • ทำตามโซเชียลโดยไม่ตรวจสอบปัจจัยพื้นฐานหรือเทคนิค

  • ถือหุ้นนานเกินไป โดยหวังราคาจะขึ้นต่อ


ความเสี่ยง : หุ้นอาจปรับตัวลงอย่างรวดเร็ว และการซื้อแบบ FOMO มักเกิดขึ้นในช่วงที่ราคาหุ้นพุ่งสูง ซึ่งนักลงทุนสถาบันเริ่มทำกำไร


3) FOMO ในการเทรดสินค้าโภคภัณฑ์

ในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ (ทองคำ น้ำมัน เงิน ฯลฯ) FOMO มักเกิดจาก:

  • ความผันผวนของอุปสงค์และอุปทาน (เช่น การประกาศของ OPEC ภัยแล้ง การเก็บเกี่ยวล้มเหลว)

  • ความกังวลเรื่องเงินเฟ้อหรือเศรษฐกิจมหภาค


ตัวอย่างพฤติกรรม FOMO :

  • วิ่งตามราคาทองคำในช่วงวิกฤตโดยไม่รอการปรับฐาน

  • เข้าเทรดน้ำมันดิบยาว หลังราคาพุ่งขึ้น 10% อย่างรวดเร็ว

  • การละเลยธรรมชาติของสินค้าโภคภัณฑ์ที่เป็นวัฏจักร


ความเสี่ยง : สินค้าโภคภัณฑ์มีความผันผวนและไวต่อข่าวสาร  FOMO อาจนำไปสู่การซื้อในระดับสูงสุดและประสบกับการพลิกกลับอย่างรุนแรง


4) FOMO ในการเทรดดัชนี

ในการเทรดดัชนี (S&P 500, Nasdaq, DAX เป็นต้น) FOMO มักปรากฏในช่วง:

  • การบูมของตลาดกระทิง (เช่น หลังจากการกระตุ้นของเฟดหรือหุ้นเทคโนโลยีพุ่งสูงขึ้น)

  • ข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งหนุนดัชนีทั้งหมด

  • เมื่อตลาดดัชนีแตะจุดสูงสุดในประวัติศาสตร์


ตัวอย่างพฤติกรรม FOMO :

  • ซื้อ CFD หรือฟิวเจอร์สดัชนีในช่วงท้ายของรอบขาขึ้นโดยไม่ควบคุมความเสี่ยง

  • เข้าเทรดตามกระแสบวกที่เห็นในสื่อและโซเชียล

  • ถือสถานะขาดทุน หวังว่าจะได้จังหวะราคาขึ้นอีกครั้ง


ความเสี่ยง : ดัชนีมีแนวโน้มเคลื่อนไหวในระยะยาว แต่การเทรดด้วย FOMO โดยไม่มีการตั้งค่าทางเทคนิคหรือจุดหยุดขาดทุน อาจเสี่ยงสูงเมื่อตลาดปรับฐานหรือเกิดการแกว่งตัว


ตัวอย่างจริงในโลกการเทรดที่เกิดจาก FOMO


ตัวอย่างที่ 1: Bitcoin Bull Run (2020–2021)

เมื่อราคา Bitcoin พุ่งสูงเกิน 20,000 ดอลลาร์ ไปจนถึง 40,000 ดอลลาร์ และต่อไปถึง 60,000 ดอลลาร์ นักลงทุนรายย่อยจำนวนมากรีบกระโดดเข้าตลาดเพราะกลัวพลาดโอกาสทำกำไร แต่เมื่อราคาปรับฐานลง หลายคนก็ต้องเผชิญกับการขาดทุนอย่างหนัก


ตัวอย่างที่ 2: GameStop (GME) Short Squeeze (2021)

กระแสจากกลุ่ม WallStreetBets บน Reddit ทำให้ราคาหุ้น GME พุ่งจากประมาณ 20 ดอลลาร์ พุ่งขึ้นไปแตะมากกว่า 400 ดอลลาร์ ความรู้สึก FOMO ทำให้นักลงทุนรายใหม่หลายพันคนแห่ซื้อใกล้จุดสูงสุด ก่อนที่ราคาจะร่วงลงในเวลาไม่กี่วัน


ตัวอย่างที่ 3: Meme Coins (Dogecoin, Shiba Inu)

กระแสโซเชียลมีเดียทำให้ราคา Dogecoin และ Shiba Inu พุ่งขึ้นอย่างรุนแรง หลายคนรีบซื้อตามช่วงที่ราคากำลังสูงสุด แต่สุดท้ายต้องเผชิญกับการขาดทุนหลังจากราคากลับตัวลงอย่างรวดเร็ว


สัญญาณที่บ่งบอกว่าคุณกำลังเทรดด้วยอารมณ์ FOMO


คุณอาจกำลังประสบกับอาการ FOMO หากคุณมีพฤติกรรมเหล่านี้:

  • ตรวจดูกราฟหรือข่าวตลอดเวลา เพราะกลัวพลาดสิ่งสำคัญ

  • รู้สึกเครียดหรือกดดันเมื่อเห็นคนอื่นอวดกำไร

  • ละทิ้งแผนการเทรดเดิมเพื่อรีบเข้าตลาดก่อนจะ “สายเกินไป”

  • เข้าซื้อขายโดยไม่วิเคราะห์ความเสี่ยงหรือไม่ตั้งจุดหยุดขาดทุน (Stop Loss)

  • รู้สึกเสียดายหรือเสียใจหลังจากเทรดแต่ละครั้ง


อันตรายจาก FOMO

1. จุดเข้าเทรดที่ไม่ดี

การรีบเข้าซื้อช่วงที่ราคากำลังพุ่งสูง มักนำไปสู่การซื้อที่ระดับราคาสูงเกินจริง และเสี่ยงต่อการกลับตัวของราคา


2. การตัดสินใจด้วยอารมณ์

FOMO ทำให้นักเทรดมองข้ามการวิเคราะห์กราฟหรือแผนการเทรดที่วางไว้


3. ความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น

คนที่เทรดจากความกลัวพลาดโอกาส มักเพิ่มขนาดการเทรดมากกว่าปกติส่งผลให้ขาดทุนมากขึ้น


4. มองแต่กำไรในระยะสั้น

จุดสนใจเปลี่ยนจากกลยุทธ์ระยะยาว ไปสู่การไล่ล่ากำไรระยะสั้นแทน


5.ความมั่นใจลดลง

เมื่อขาดทุนซ้ำ ๆ จากการเทรดแบบไม่มีเหตุผล ความมั่นใจจะค่อย ๆ หายไป อาจนำไปสู่การเทรดแบบแก้แค้น (Revenge Trading) หรือภาวะหมดไฟจากการเทรด


วิธีเอาชนะ FOMO ในการเทรด

วิธีเอาชนะ FOMO ในการเทรด

ต่อไปนี้คือกลยุทธ์ที่พิสูจน์แล้วว่าใช้ได้ผลในการจัดการและเอาชนะ FOMO:


1. ยึดมั่นในแผนการเทรด

แผนที่ชัดเจนจะระบุจุดเข้า จุดออก และการบริหารความเสี่ยง ซึ่งจะช่วยให้คุณตัดสินใจอย่างมีเหตุผล ไม่ใช่ตามอารมณ์



2. ใช้ระบบบริหารความเสี่ยง

จำกัดความเสี่ยงไว้ที่ 1–2% ต่อการเทรดแต่ละครั้ง เพื่อป้องกันไม่ให้การตัดสินใจจาก FOMO เพียงครั้งเดียวทำให้พอร์ตเสียหายหนัก



3. ตั้งการแจ้งเตือนแทนการจ้องกราฟตลอดเวลา

ใช้ระบบแจ้งเตือนหรือคำสั่งล่วงหน้าที่จุดราคาสำคัญ แทนการเฝ้ากราฟตลอดเวลา ซึ่งมักนำไปสู่การตัดสินใจแบบเร่งด่วน



4. ใช้กราฟในกรอบเวลาที่ใหญ่ขึ้น

เช่น กราฟรายวัน (1D) หรือ 4 ชั่วโมง (4H) ซึ่งช่วยลดสัญญาณรบกวนและกระแสชั่วคราวในกราฟรายนาที และสอดคล้องกับกลยุทธ์ที่มั่นคงมากขึ้น



5. หลีกเลี่ยงการเทรดตามข่าวหรือกระแสโซเชียล

อย่าวิ่งตามทวีต เทรนด์จาก Reddit หรือ "สัญญาณ" ที่ไวรัล จงรอให้เกิดรูปแบบที่ตรงกับการวิเคราะห์ของคุณเอง



6. บันทึกการเทรดอย่างสม่ำเสมอ

จดบันทึกทุกครั้งที่เทรด รวมถึงเหตุผลในการเข้าออก เพื่อช่วยวิเคราะห์พฤติกรรมที่เกิดจากอารมณ์และปรับปรุงให้ดีขึ้น


7. ยอมรับว่าคุณไม่สามารถจับทุกโอกาสได้

คุณจะพลาดบางเทรดที่ให้กำไรแน่นอน และนั่นเป็นเรื่องปกติ เพราะในตลาดมีโอกาสใหม่เกิดขึ้นเสมอ


กลยุทธ์ที่ใช้แทน FOMO ด้วยวินัยในการเทรด


เทคนิคสร้างวินัย ประโยชน์ที่ได้รับ

กำหนดกฎการเข้าเทรดไว้ล่วงหน้า

ช่วยหลีกเลี่ยงการเข้าเทรดแบบไร้ทิศทางเมื่อเกิดกระแส

ยึดมั่นกับเป้าหมายรายวันหรือรายสัปดาห์

ทำให้คุณโฟกัสที่กระบวนการไม่ใช่แค่กำไร

จำกัดเวลาที่ใช้ดูหน้าจอ

ลดโอกาสการเทรดมากเกินไปและความเครียดจากตลาด

ฝึกสติหรือทำสมาธิ

ช่วยควบคุมอารมณ์และการตัดสินใจได้ดีขึ้น

ใช้บัญชีทดลอง

ทดสอบกลยุทธ์ได้โดยไม่ต้องเสี่ยงเงินและลดอารมณ์มาเกี่ยวข้อง


สรุป


Fear of Missing Out คือหนึ่งในกับดักทางจิตวิทยาที่พบบ่อยที่สุดในการเทรด และสามารถเกิดขึ้นได้กับเนักเทรดทุกระดับ ไม่ว่าจะเป็นมือใหม่ที่รีบซื้อหุ้นกระแสแรง หรือมืออาชีพที่หลงไปกับภาวะตลาดคึกคัก ก็ล้วนมีโอกาสเผชิญกับ FOMOได้ทั้งสิ้น


สิ่งสำคัญไม่ใช่การพยายามกำจัดอารมณ์ให้หมดไป แต่คือการเรียนรู้ที่จะควบคุมอารมณ์เหล่านั้น ด้วยแผนการเทรดที่ชัดเจน การบริหารความเสี่ยงที่รัดกุม และความตระหนักรู้ในสัญญาณของ FOMO คุณจะสามารถหลีกเลี่ยงความผิดพลาดราคาแพง และเทรดได้อย่างมีวินัยและมั่นใจมากขึ้น


คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ

เทรดทอง Gold Spot VS Gold Future ต่างกันยังไง? รู้ไว้ก่อนลงทุน!

เทรดทอง Gold Spot VS Gold Future ต่างกันยังไง? รู้ไว้ก่อนลงทุน!

เรียนรู้การเทรดทอง Gold Spot อย่างละเอียด ตั้งแต่ความหมาย วิธีเทรด ข้อแตกต่างกับ Gold Future ปัจจัยกระทบราคา และเทคนิคทำกำไรในตลาดขาขึ้น-ขาลง

2025-06-20
การสิ้นสุดเส้นทแยงมุมเข้ากับกลยุทธ์การซื้อขายของคุณอย่างไร?

การสิ้นสุดเส้นทแยงมุมเข้ากับกลยุทธ์การซื้อขายของคุณอย่างไร?

เรียนรู้วิธีระบุรูปแบบแนวทแยงที่สิ้นสุด ทำความเข้าใจโครงสร้าง และค้นหาสัญญาณการกลับตัวที่สำคัญโดยใช้การวิเคราะห์คลื่นเอลเลียต

2025-06-20
ข้อใดไม่ใช่ตัวอย่างของกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยง?

ข้อใดไม่ใช่ตัวอย่างของกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยง?

ข้อใดไม่ใช่ตัวอย่างของกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงในการซื้อขาย เปิดเผยความเข้าใจผิดทั่วไปที่ทำให้เกิดการสูญเสียในการซื้อขาย

2025-06-20