เรียนรู้วิธีเทรดกลยุทธ์ Calendar Spread อย่างมั่นใจ พร้อมทั้งเข้าใจข้อดีความเสี่ยง และเคล็ดลับที่นำไปใช้ได้จริง เหมาะสำหรับทุกระดับประสบการณ์
Calendar Spread คือกลยุทธ์ออปชันที่ได้รับความนิยมอย่างแพร่หลาย ซึ่งช่วยให้นักเทรดสามารถทำกำไรจากความแตกต่างของมูลค่าเวลาระหว่างสัญญาออปชันสองสัญญา โดยกลยุทธ์นี้เกี่ยวข้องกับการซื้อและขายออปชันที่มีราคาใช้สิทธิเท่ากัน แต่มีวันหมดอายุต่างกัน จึงเป็นกลยุทธ์ที่เน้นเน้นการเก็งกำไรจากเวลา ไม่ใช่จากทิศทางราคาของสินทรัพย์
กลยุทธ์นี้เหมาะสำหรับช่วงที่คาดว่าราคาสินทรัพย์จะเคลื่อนไหวไม่มากในระยะสั้น แต่คาดว่าความผันผวนหรือมูลค่าจะเปลี่ยนแปลงในระยะยาว จึงเหมาะกับตลาดที่มีความผันผวนต่ำ หรือก่อนเกิดเหตุการณ์สำคัญที่อาจทำให้ตลาดเปลี่ยนแปลงได้อย่างมีนัยสำคัญ
Calendar Spread คือกลยุทธ์ที่ใช้สัญญาออปชันแบบ Call หรือ Put โดยจะเลือกออปชันที่มีราคาใช้สิทธิเท่ากัน แต่มีวันหมดอายุที่แตกต่างกันโดยทั่วไปจะเป็นการ
ซื้อออปชันที่มีวันหมดอายุระยะยาว
ขายออปชันที่มีวันหมดอายุระยะสั้น
มูลค่าของกลยุทธ์นี้ขึ้นอยู่กับการเสื่อมค่าของเวลา ซึ่งออปชันระยะสั้นจะเสื่อมค่ารวดเร็วกว่าเมื่อนับถอยหลังเข้าสู่วันหมดอายุ นักเทรดจึงหวังให้ออปชันระยะสั้นหมดอายุโดยไม่มีมูลค่า ในขณะที่ออปชันระยะยาวยังคงมีมูลค่าหรืออาจเพิ่มขึ้นได้
ตัวอย่างเช่น หากราคาหุ้นอยู่ที่ 200 ปอนด์ นักเทรดอาจซื้อออปชัน call ที่หมดอายุใน 60 วัน พร้อมกับขายออปชัน call ที่หมดอายุใน 30 วัน โดยทั้งคู่มีราคาใช้สิทธิ 200 ปอนด์ ถ้าราคาหุ้นยังคงเคลื่อนไหวในช่วงนี้ ออปชันระยะสั้นจะหมดอายุไปอย่างไม่มีค่า ขณะที่ออปชันระยะยาวยังมีโอกาสสร้างกำไรอยู่
นักเทรดมักเลือกใช้กลยุทธ์ Calendar Spread เพราะมีข้อดีหลายอย่าง โดยเฉพาะเมื่อต้องการลงทุนในช่วงที่คาดว่าราคาสินทรัพย์จะไม่เปลี่ยนแปลงมากนักในระยะสั้น ข้อดีหลัก ๆ ได้แก่
ประโยชน์จากการเสื่อมค่าของเวลา : ออปชันระยะสั้นจะเสื่อมค่าเร็วกว่าออปชันระยะยาว
ใช้เงินลงทุนต่ำ : มักจะถูกกว่าการซื้อออปชั่นระยะยาวแบบแยกเดี่ยว ๆ
ความเสี่ยงที่กำหนด : มีความเสี่ยงที่จำกัด เพราะขาดทุนสูงสุดจะไม่เกินเงินที่จ่ายไปในการตั้งสเปรด
โอกาสจากความผันผวน : สามารถได้รับประโยชน์จากความผันผวนโดยนัยที่เพิ่มขึ้นตามกาลเวลา
โดยการใช้ประโยชน์จากปัจจัยเหล่านี้ นักเทรดจึงสามารถสร้างตำแหน่งลงทุนที่มีโอกาสได้กำไรสูง ในขณะที่ความเสี่ยงก็ยังอยู่ในระดับที่ควบคุมได้ง่าย
แม้ว่ากลยุทธ์ Calendar Spread จะมีข้อดีมากมาย แต่ก็ยังมีความเสี่ยงที่นักเทรดควรทำความเข้าใจ ดังนี้:
ความเสี่ยงจากการเคลื่อนไหวของราคา : การเปลี่ยนแปลงราคาสินทรัพย์อ้างอิงอย่างรวดเร็วอาจส่งผลเสียต่อสเปรด
การลดลงของความผันผวน : การลดลงของความผันผวนที่แฝงอยู่ อาจทำให้ออปชันระยะยาวมีมูลค่าลดลง
ความเสี่ยงจากการถูกบังคับใช้ก่อนกำหนด : สำหรับออปชันแบบ American-style ออปชันระยะสั้นอาจถูกบังคับใช้ก่อนหมดอายุ
โซนกำไรแคบ : กำไรมีแนวโน้มที่จะกระจุกตัวอยู่รอบๆ ราคาใช้สิทธิ ซึ่งจำเป็นต้องมีการคาดการณ์ที่แม่นยำ
การเข้าใจความเสี่ยงเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญก่อนนำกลยุทธ์ Calendar Spread ไปใช้ในตลาดจริง
Calendar Spread เหมาะกับช่วงที่นักเทรดคาดว่าราคาสินทรัพย์จะไม่เปลี่ยนแปลงมากนักในระยะสั้น โดยสภาพตลาดที่เหมาะสม ได้แก่
ตลาดที่มีแนวโน้มเป็นกลางหรือลาดเอียงเล็กน้อย : เหมาะกับการเคลื่อนไหวแบบ sideway
ความผันผวนที่แฝงต่ำ : โดยเฉพาะเมื่อคาดว่าจะมีการเพิ่มขึ้นในอนาคต
การดทรกตามเหตุการณ์สำคัญ : เช่น รายงานผลประกอบการ การตัดสินใจนโยบาย หรือการประกาศข้อมูลเศรษฐกิจระดับมหภาค
การตั้งค่าเหล่านี้ช่วยให้นักเทรดสามารถวางตำแหน่งเพื่อรับประโยชน์สูงสุดจากการเสื่อมค่าของเวลา และโอกาสในการเพิ่มขึ้นของความผันผวนได้
หลายคนอาจสับสนระหว่างกลยุทธ์ Calendar Spread กับ Vertical Spread ซึ่งเป็นกลยุทธ์ออปชันยอดนิยมทั้งคู่ โดยมีข้อแตกต่างสำคัญดังนี้
Calendar Spread vs Vertical Spread
วันหมดอายุแตกต่างกัน: ต่างกันระหว่างสัญญาระยะสั้นและยาว vs เหมือนกันทั้งสองสัญญา
ราคาใช้สิทธิ: เท่ากัน vs ต่างกัน (โดยมักห่างกันประมาณ 5–10 ปอนด์)
สภาพตลาดที่เหมาะสม : ตลาดเคลื่อนไหวแคบมีความผันผวนเพิ่มขึ้น vs ตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน
ต้นทุน: ต่ำ vs อาจสูงขึ้น ขึ้นกับราคาใช้สิทธิ
ความเสี่ยงและผลตอบแทน: ขึ้นอยู่กับเวลาและความผันผวน vs ขึ้นอยู่กับการเคลื่อนไหวของราคา
โดยรวมแล้ว Calendar Spread เหมาะกับสถานการณ์ที่ไม่คาดหวังการเปลี่ยนแปลงราคามากนัก แต่ต้องการเล่นกับเวลาและความผันผวน ส่วน Vertical Spread จะเหมาะกับตลาดที่มีทิศทางราคาชัดเจนมากกว่า
หากคุณต้องการเริ่มต้นใช้กลยุทธ์ Calendar Spread นี่คือขั้นตอนพื้นฐานที่ควรรู้:
เลือกสินทรัพย์อ้างอิง : อาจเป็นหุ้น กองทุน ETF หรือดัชนีที่มีสภาพคล่องสูง เพื่อให้สามารถเปิด–ปิดสถานะได้ง่าย
ระบุราคาใช้สิทธิ : เลือกราคาที่คุณคาดว่าสินทรัพย์จะเคลื่อนไหว
เลือกวันที่หมดอายุ : ขายออปชันระยะสั้น (ใกล้วันหมดอายุ) ซื้อออปชันระยะยาว (ไกลวันหมดอายุ) ที่ราคาใช้สิทธิเดียวกัน
เปิดสถานะ : ส่งคำสั่งเป็นคำสั่งเดียว (single order) เพื่อควบคุมต้นทุนสุทธิของสเปรด
ติดตามและปรับกลยุทธ์ : หากราคาหรือความผันผวนเปลี่ยนไปมากอาจต้อง “roll” ไปยังสัญญาใหม่ หรือปิดสถานะเพื่อจำกัดความเสี่ยง
การดำเนินการตามขั้นตอนเหล่านี้อย่างเป็นระบบจะช่วยให้นักเทรดลดความผิดพลาดในการส่งคำสั่ง และบริหารความเสี่ยงได้อย่างมีประสิทธิภาพ
สมมติว่านักเทรดรายหนึ่งกำลังพิจารณาหุ้นที่มีราคาปัจจุบันอยู่ที่ £120 โดยเขาเชื่อว่าราคาหุ้นจะเคลื่อนไหวอยู่ใกล้ระดับนี้ต่อไปอีกประมาณ 30 วัน แต่มีแนวโน้มจะเปลี่ยนแปลงหลังจากที่บริษัทประกาศผลประกอบการในอีก 60 วัน
นักเทรดจึงวางกลยุทธ์ดังนี้:
ขายออปชัน Call ที่ราคาใช้สิทธิ £120 ซึ่งจะหมดอายุใน 30 วัน โดยได้รับเบี้ยประกันมา £2
ซื้อออปชัน Call ที่ราคาใช้สิทธิเดียวกัน คือ £120 แต่มีอายุ 60 วัน โดยต้องจ่ายเบี้ยประกัน£4
ต้นทุนสุทธิของกลยุทธ์ (และความเสี่ยงสูงสุด) คือ £2
หากราคาหุ้นยังอยู่ใกล้ระดับ £120 เมื่อครบกำหนด 30 วัน ออปชันที่ขายไว้จะหมดอายุโดยไม่มีมูลค่า ขณะที่ออปชันที่ถือไว้ระยะยาวยังเหลือเวลาและอาจมีมูลค่าเพิ่มขึ้น หากความผันผวนแฝงในตลาดปรับตัวสูงขึ้นหลังการประกาศผลประกอบการ นักเทรดสามารถเลือกปิดสถานะเพื่อรับกำไร หรือปรับตำแหน่งต่อไปตามสถานการณ์
ตัวอย่างนี้ช่วยให้เห็นภาพชัดเจนว่ากลยุทธ์ Calendar Spread ทำงานอย่างไรเมื่อนำไปใช้จริงในตลาด
หากคุณต้องการใช้กลยุทธ์ Calendar Spread อย่างมีประสิทธิภาพลองทำตามแนวทางเหล่านี้:
เริ่มต้นด้วยสินทรัพย์ที่มีสภาพคล่องสูง : ให้ความสำคัญกับออปชันที่มีส่วนต่างระหว่างราคาซื้อ-ขาย (bid-ask spread) แคบ และมีปริมาณการซื้อขายสูง เพื่อให้เข้าออกสถานะได้ง่ายและลดต้นทุน
ใช้เครื่องมือวิเคราะห์ประกอบการตัดสินใจ : ติดตามความผันผวนแฝง (Implied Volatility) และช่วงราคาที่หุ้นเคลื่อนไหวในอดีต เพื่อประเมินว่าจังหวะเข้าเทรดเหมาะสมหรือไม่
หลีกเลี่ยงช่วงประกาศงบ (ในบางกรณี) : เว้นแต่คุณตั้งใจจะเก็งกำไรจากเหตุการณ์นั้นโดยตรง เพราะความผันผวนอาจพุ่งสูงและทำให้ผลลัพธ์ไม่เป็นไปตามแผน
ปรับตำแหน่งตามการเคลื่อนไหวของราคา : หากราคาขยับมาก อาจพิจารณาต่ออายุ (roll) ขาสั้นเพื่อรักษากลยุทธ์
ออกจากสถานะก่อนหมดอายุหากจำเป็น : เพื่อลดความเสี่ยงจากการถูกใช้สิทธิ (assignment) ควรบริหารตำแหน่งอย่างกระตือรือร้น
เทคนิคเหล่านี้จะช่วยให้การดำเนินกลยุทธ์มีประสิทธิภาพยิ่งขึ้น และเพิ่มโอกาสในการประสบความสำเร็จในการเทรด
Calendar Spread คือกลยุทธ์ที่เหมาะสำหรับนักเทรดที่ต้องการสร้างผลตอบแทนจากการเสื่อมค่าของเวลา (Time Decay) และการเปลี่ยนแปลงของความผันผวน โดยไม่จำเป็นต้องคาดการณ์ทิศทางของตลาดอย่างชัดเจน จุดเด่นของกลยุทธ์นี้อยู่ที่ความยืดหยุ่น ความเสี่ยงที่ควบคุมได้ และโอกาสในการเข้าเทรดในช่วงเวลาสำคัญ เช่น ก่อนการประกาศข่าวใหญ่ หรือในช่วงที่ตลาดนิ่ง
อย่างไรก็ตาม การใช้ Calendar Spread ให้ได้ผล ต้องอาศัยความเข้าใจในโครงสร้างราคาออปชัน การจับจังหวะที่เหมาะสม และการติดตามบริหารสถานะอย่างใกล้ชิด หากคุณพร้อมทุ่มเทเวลาเพื่อศึกษาและฝึกฝน กลยุทธ์นี้จะเป็นอีกหนึ่งเครื่องมือทรงพลัง ที่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพและความหลากหลายให้กับแผนการเทรดของคุณอย่างแน่นอน
คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ
ค้นพบ 7 เหตุผลหลักที่ทำให้หุ้น PayPal ตกในปี 2025 ตั้งแต่การเติบโตที่ชะลอตัวไปจนถึงการแข่งขันที่เพิ่มขึ้น ยังคงเป็นการลงทุนที่ชาญฉลาดหรือไม่
2025-06-20เปรียบเทียบการซื้อขาย CFD และหุ้นสำหรับผู้ซื้อขายที่กระตือรือร้น เรียนรู้ข้อดี ข้อเสีย และกลยุทธ์ระยะสั้น การใช้ประโยชน์ และการจัดการความเสี่ยงที่เหมาะสมที่สุด
2025-06-20ค้นพบว่า Ultimate Oscillator ช่วยให้ผู้ซื้อขายวัดโมเมนตัมข้ามกรอบเวลาและหลีกเลี่ยงสัญญาณที่เข้าใจผิดในตลาดที่มีความผันผวนได้อย่างไร
2025-06-20