สำรวจ 7 ประเภทของ Trade ที่พบบ่อยที่สุดในตลาดการเงิน ซึ่งแต่ละประเภทมีกลยุทธ์และแนวทางการเทรดที่ไม่เหมือนกัน
ตลาดการเงิน คือแหล่งรวบรวมนักลงทุนที่หลากหลาย โดยแต่ละคนมีกลยุทธ์ การป้องกันความเสี่ยง และความมุ่งมั่นที่เป็นเอกลักษณ์ ไม่ว่าคุณจะเทรดหุ้น ฟอเร็กซ์ หรือสินค้าโภคภัณฑ์ คุณจะพบกับประเภทของ Trader ต่างๆ ซึ่งแต่ละประเภทก็มีวิธีการเทรดที่แตกต่างกัน
การเข้าใจประเภทของเหล่า Trader จะช่วยให้คุณเลือกสไตล์การเทรดที่สอดคล้องกับเป้าหมาย ไลฟ์สไตล์ และอารมณ์ ตั้งแต่การเทรดระยะสั้น เน้นทำกำไรแบบรวดเร็วไปจนถึงการเทรดระยะยาว ที่ต้องอาศัยความอดทน โดยแต่ละประเภทมีวัตถุประสงค์ที่แตกต่างกันในระบบนิเวศของตลาดการเงิน
1. Day Trader (เดย์เทรดเดอร์)
Day Trader หรือ เทรดเดอร์รายวัน ชอบการเคลื่อนไหวของราคาอย่างรวดเร็ว โดยจะเข้าและออกออเดอร์ภายในเซสชันการซื้อขายเดียวกัน และจะไม่ค่อยถือยาว หรือข้ามคืน แต่จะอาศัยการเคลื่อนไหวของราคาในระยะสั้นเพื่อทำกำไร
Day Trader มักใช้ Indicator ร่วมด้วย เช่น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ RSI และรูปแบบกราฟแท่งเทียน ซึ่งการเทรดประเภทนี้ต้องอาศัยสมาธิอย่างมาก พร้อมกับการตัดสินใจที่รวดเร็ว บวกกับวินัย เนื่องจากการเทรดรูปแบบนี้จะต้องเข้าออกออเดอร์อยู่บ่อยครั้ง ทำให้มีต้นทุนธุรกรรมที่สูงขึ้น ดังนั้น การเทรดให้มีประสิทธิภาพจึงมีความสำคัญอย่างมาก
2. Swing Trader (สวิงเทรดเดอร์)
Swing Trader มักเปิดออเดอร์นานหลายวันหรือหลายสัปดาห์ โดยมุ่งเน้นทำกำไรจากการแกว่งตัวของตลาดในระยะกลาง เทรดเดอร์กลุ่มนี้จัดอยู่ในกลุ่มระหว่าง Day Trader และนักลงทุนระยะยาว ในแง่ของระยะเวลาการเทรด พวกเขาอาศัยทั้งการวิเคราะห์ทางเทคนิคและปัจจัยพื้นฐาน เพื่อจับแนวโน้มในระยะสั้นถึงระยะกลาง
ในบรรดานักเทรดทุกประเภท นักเทรดสายสวิงเทรด จะมีความยืดหยุ่นมากกว่า เนื่องจากไม่จำเป็นต้องคอยติดตามตลาดอยู่ตลอดเวลา พวกเขาจะเน้นการระบุจุดกลับตัวของแนวโน้มหรือ Breakout และมักจะรอสัญญาณยืนยันก่อนเข้าเทรด
3. Position Trader (โพสิชั่นเทรดเดอร์)
เทรดเดอร์ประเภทนี้จะเน้นการเทรดระยะยาวมากที่สุด ซึ่งมักจะเทรดตามแนวโน้มใหญ่ๆ ซึ่งอาจกินเวลานานหลายเดือนหรือหลายปี รูปแบบการเทรดของพวกเขามักจะขึ้นอยู่กับการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐาน รวมถึงตัวบ่งชี้ทางเศรษฐกิจ อัตราดอกเบี้ย และรายงานผลประกอบการ
เนื่องจากกลุ่ม Position Trader มีการถือออเดอร์ที่นานกว่าประเภทอื่นๆ และพวกเขาจะได้รับผลกระทบจากความผันผวนระยะสั้นของตลาดน้อยมาก อย่างไรก็ตาม กลยุทธ์นี้ต้องใช้ความอดทนและความเชื่อมั่นอย่างมาก อีกทั้งยังต้องมั่นคงในแผนการเทรดในช่วงที่เกิดการขาดทุน (drawdown) โดยไม่ปล่อยให้อารมณ์เข้ามาครอบงำการตัดสินใจ
4. Scalpers (สเกลป์เปอร์)
Scalpers หรือ นักเทรดสายเก็งกำไร เป็นรูปแบบการเทรดระยะสั้นที่ต้องอาศัยความเร็วและความแม่นยำสูง นักเทรดกลุ่มนี้จะเปิดและปิดออเดอร์ภายในไม่กี่วินาทีหรือไม่กี่นาที โดยพยายามทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาเพียงเล็กน้อย หากเปรียบเทียบกับ Trader ประเภทอื่นๆ นักเทรดกลุ่มนี้ต้องอาศัยการตัดสินใจที่รวดเร็วที่สุด และมักจะใช้เครื่องมืออัตโนมัติในการเทรด
การเทรดแบบสเกลป์ ต้องอาศัยแพลต์ฟอร์มที่มีการส่งคำสั่งด้วยความเร็วสูง (High-frequency execution) ความหน่วงต่ำ (Low latency) และการหลุดราคาที่น้อยที่สุด (Minimal slippage) ซึ่งโดยทั่วไปแล้ว Scalpers มักจะเทรดในช่วงเวลาที่มีสภาพคล่องสูง เช่น ช่วงตลาดเปิดหรือปิด เพื่อให้สามารถเข้าออกออเดอร์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ แม้ว่ากำไรต่อเทรดจะน้อย แต่การเทรดในปริมาณมากสามารถนำไปสู่ผลตอบแทนที่น่าพอใจ
5. Algorithmic Trader (อัลกอริทึมเทรดเดอร์)
หนึ่งในประเภทของ Trader ที่มีเทคนิคมากที่สุดคือ นักเทรดสายอัลกอริทึม พวกเขาจะพัฒนาระบบอัตโนมัติหรือบอทเทรด ให้ทำการซื้อขายตามระบบที่กำหนดไว้ โดยระบบเหล่านี้จะอิงจากการวิเคราะห์เชิงปริมาณ (Quantitative Analysis) พฤติกรรมราคา (Price Action) หรือโมเดลทางสถิติ
ข้อได้เปรียบที่สุด คือ เทรดเดอร์กลุ่มนี้ จะตัดอารมณ์ออกจากกระบวนการตัดสินใจ และสามารถเทรดในหลายตลาดและหลายช่วงเวลาได้พร้อมกัน แม้ว่าวิธีนี้จะถูกใช้โดยสถาบันการเงินเป็นหลัก แต่ในปัจจุบันนักลงทุนรายย่อยก็เริ่มหันมาใช้กลยุทธ์อัลกอริทึมมากขึ้น ด้วยการเติบโตของแพลตฟอร์มเทรดที่ใช้งานง่าย และเครื่องมือการเขียนโค้ดที่เข้าถึงได้ง่ายมากขึ้น
6. Trend Followers (เทรดเดอร์ตามเทรนด์)
กลุ่ม Trend Followers มุ่งเน้นในการระบุและทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาที่มีทิศทางชัดเจนและต่อเนื่อง พวกเขามักใช้เครื่องมืออย่างเส้นค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Averages) อินดิเคเตอร์โมเมนตัม (Momentum Indicators) และเส้นแนวโน้ม (Trendlines) เพื่อเข้าสู่การเทรดในทิศทางเดียวกับแนวโน้มหลักของตลาด
Trader ประเภทนี้จะพยายาม ถือออเดอร์ให้นานที่สุดเท่าที่แนวโน้มยังดำเนินอยู่ และบางครั้งจะใช้ Trailing Stop Loss เพื่อป้องกันกำไรที่ได้มา
กลยุทธ์แบบตามเทรนด์สามารถนำไปใช้ได้กับหลายช่วงเวลา (Multi-timeframe) และได้รับความนิยมเป็นพิเศษในตลาดที่มีแนวโน้มชัดเจน เช่น ตลาดสินค้าโภคภัณฑ์ หรือตลาดดัชนีหลัก ๆ หัวใจสำคัญของความสำเร็จ คือ ไม่พยายามทำนายจุดสูงสุดหรือจุดต่ำสุดของราคา แต่เลือกที่จะ "ตามกระเเสของเทรนด์" พร้อมมีแผน Stop loss ที่ชัดเจน
7. Contrarian Traders (นักเทรดสายสวนทาง)
Contrarian Traders จะเทรดสวนทางกับความเชื่อหรืออารมณ์ของตลาดในขณะนั้น ตัวอย่างเช่น เมื่อคนส่วนใหญ่ในตลาดมีมุมมองเชิงบวก (Bullish) นักเทรดสายสวนจะมองหาสัญญาณว่าตลาดเริ่มมีภาวะซื้อมากเกินไป (Overbought) และอาจใกล้ถึงจุดกลับตัว แต่เมื่อผู้คนส่วนใหญ่เกิดความกลัวและขายออก (เช่นในช่วงตลาดขาลง) พวกเขากลับมองหาโอกาสในการซื้อสินทรัพย์ที่มีราคาต่ำกว่ามูลค่า (Undervalued)
เทรดเดอร์ประเภทนี้มักจะพึ่งพาการวิเคราะห์อารมณ์ ความแตกต่างของปริมาณ และตัวบ่งชี้ที่สวนทางกัน เช่น อัตราส่วน VIX หรือ Put-Call ซึ่งกลยุทธ์นี้ต้องการ จังหวะที่แม่นยำ และ ความกล้าหาญที่จะคิดต่างจากคนส่วนใหญ่ ซึ่งอาจส่งผลต่อจิตวิทยาการเทรดและสร้างแรงกดดันทางอารมณ์ได้มากพอสมควร
เนื่องจากประเภทของ Trader ในตลาดมีความหลาหลาย สิ่งสำคัญคือการค้นหาแนวทางที่ เหมาะสมกับเป้าหมายส่วนตัว เวลาในการเทรด และระดับความเสี่ยงที่คุณรับได้ เช่น คุณรู้สึกสบายใจกับการตัดสินใจอย่างรวดเร็วภายใต้ความกดดันหรือไม่? หรือคุณชอบแนวทางที่วิเคราะห์อย่างเป็นระบบและถือระยะยาวมากกว่า?
หากคุณชอบความตื่นเต้นของตลาดที่เคลื่อนไหวเร็ว และการเก็งกำไรในระยะสั้น การเทรดรายวัน หรือ สเกลปิ้ง อาจเหมาะกับคุณ แต่ถ้าคุณชอบการวิเคราะห์และการสังเกตแนวโน้ม การเทรดแบบสวิงเทรด หรือ โพสิชันเทรด อาจตอบโจทย์มากกว่า สำหรับผู้ที่มีความรู้ด้านการเขียนโค้ด หรือชอบใช้ข้อมูลเชิงสถิติในการตัดสินใจ การเทรดแบบอัลกอริทึม เป็นอีกตัวเลือกที่มีประสิทธิภาพและสามารถขยายขนาดได้ง่าย
การรู้ว่าสไตล์ไหนที่เหมาะกับคุณนั้นจะช่วยในการพัฒนาแผนการเทรดให้มีประสิทธิ ตั้งความคาดหวังที่เป็นจริง และหลีกเลี่ยงการขาดทุนจากการเลือกกลยุทธ์ที่ไม่ตรงกับตัวคุณ
ไม่ว่าคุณจะเพิ่งเริ่มต้นหรือกำลังปรับกลยุทธ์การเทรดของตัวเอง สิ่งสำคัญคือการเข้าใจประเภทของเทรดเดอร์ต่าง ๆ ที่มีอยู่ในตลาด ตั้งแต่นักเทรดรายวัน ไปจนถึงนักเทรดสายสวน ซึ่งแต่ละกลุ่มมีจุดแข็ง จุดอ่อน และผลกระทบต่อตลาดที่แตกต่างกัน การค้นหาสไตล์การเทรดที่เหมาะสม จะพาคุณพัฒนาไปตามประสบการณ์และความเข้าใจในจิตวิทยาการเทรดของตัวเองมากขึ้น
หลีกเลี่ยงการเปลี่ยนสไตล์การเทรดบ่อยเกินไป ควรใช้เวลาศึกษาแต่ละวิธี ทดลองในบัญชี Demo และประเมินว่าวิธีไหนเหมาะกับคุณที่สุด โดยการเลือกวิธีที่สอดคล้องกับไลฟ์สไตล์ของคุณ จะช่วยเพิ่มโอกาสประสบความสำเร็จในการเทรดมากขึ้น
คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ
เรียนรู้การเทรดทอง Gold Spot อย่างละเอียด ตั้งแต่ความหมาย วิธีเทรด ข้อแตกต่างกับ Gold Future ปัจจัยกระทบราคา และเทคนิคทำกำไรในตลาดขาขึ้น-ขาลง
2025-06-20เรียนรู้วิธีระบุรูปแบบแนวทแยงที่สิ้นสุด ทำความเข้าใจโครงสร้าง และค้นหาสัญญาณการกลับตัวที่สำคัญโดยใช้การวิเคราะห์คลื่นเอลเลียต
2025-06-20ข้อใดไม่ใช่ตัวอย่างของกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงในการซื้อขาย เปิดเผยความเข้าใจผิดทั่วไปที่ทำให้เกิดการสูญเสียในการซื้อขาย
2025-06-20