Margin Call คืออะไร? ทำไมจึงเสี่ยงต่อพอร์ตลงทุน

2025-04-25
สรุป

Margin Call คือสถานการณ์ที่มูลค่าพอร์ตของนักลงทุนลดต่ำกว่าระดับที่โบรกเกอร์กำหนด ทำให้ต้องเติมเงินหรือขายสินทรัพย์บางส่วนเพื่อป้องกันความเสี่ยง

Margin Call คือสถานการณ์ที่นักลงทุนต้องเผชิญเมื่อมูลค่าพอร์ตลดลงต่ำกว่าระดับที่โบรกเกอร์กำหนดไว้ โดยเป็นเหมือนสัญญาณเตือนว่าต้องเติมเงินหรือเพิ่มหลักประกันเข้าไป มิฉะนั้นอาจถูกบังคับขายสินทรัพย์บางส่วนเพื่อป้องกันความเสี่ยง


Margin Call คืออะไร?

Margin Call คืออะไร - EBC

Margin Call คือสถานการณ์ที่เกิดขึ้นเมื่อมูลค่าสุทธิในบัญชีมาร์จิ้นของนักลงทุนลดลงต่ำกว่าระดับขั้นต่ำที่โบรกเกอร์กำหนด ซึ่งเรียกว่า "มาร์จิ้นขั้นต่ำ (Maintenance Margin)" ในกรณีนี้ โบรกเกอร์จะเรียกร้องให้คุณเติมเงินหรือเพิ่มหลักทรัพย์เข้าไปในบัญชีเพื่อให้กลับมาอยู่ในระดับที่ปลอดภัย


หากนักลงทุนไม่สามารถตอบสนองต่อ Margin Call ได้ทันเวลา โบรกเกอร์มีสิทธิ์ขายทรัพย์สินในบัญชีของคุณโดยไม่ต้องขออนุญาต เพื่อชดเชยความขาดทุนที่เกิดขึ้น ซึ่งอาจทำให้ขายได้ในราคาที่ไม่เป็นธรรม โดยเฉพาะในช่วงตลาดผันผวน


Margin Call ทำงานอย่างไร?

Margin Call จะเกิดขึ้นเมื่อมูลค่าบัญชีมาร์จิ้นของนักลงทุนลดลงต่ำกว่าระดับมาร์จิ้นขั้นต่ำที่โบรกเกอร์กำหนด โดยกระบวนการทั้งหมดมีขั้นตอนดังนี้:

  1. เริ่มต้นเปิดสถานะมาร์จิ้น: คุณยืมเงินจากโบรกเกอร์เพื่อนำไปซื้อหลักทรัพย์ โดยใช้ทั้งเงินทุนของคุณเองและเงินที่ยืมมา กระบวนการนี้เรียกว่า "การซื้อด้วยมาร์จิ้น"

  2. ข้อกำหนดของมาร์จิ้นขั้นต่ำ (Maintenance Margin Requirement): โบรกเกอร์จะกำหนดว่าในบัญชีของคุณต้องมีมูลค่าทรัพย์สินสุทธิอยู่ในระดับหนึ่ง เช่น 25%–40% ซึ่งเรียกว่าระดับมาร์จิ้นขั้นต่ำ

  3. มูลค่าสินทรัพย์ลดลง: หากราคาหุ้นที่คุณถืออยู่ร่วงลง มูลค่าพอร์ตของคุณก็จะลดลงตาม จนอาจต่ำกว่าระดับขั้นต่ำที่โบรกเกอร์ตั้งไว้

  4. เกิด Margin Call: เมื่อมูลค่าพอร์ตลดลงต่ำกว่าระดับขั้นต่ำ โบรกเกอร์จะออกคำเตือนหรือที่เรียกว่า "Margin Call" โดยเรียกร้องให้คุณเติมเงินหรือขายหลักทรัพย์บางส่วน เพื่อให้บัญชีกลับมาสู่ระดับที่ปลอดภัย

  5. การตอบสนองต่อ Margin Call: คุณสามารถเลือกเติมเงินสด เพิ่มหลักทรัพย์ หรือขายทรัพย์สินบางส่วนเพื่อลดภาระหนี้ และทำให้พอร์ตกลับมาอยู่ในสัดส่วนที่โบรกเกอร์ต้องการ

  6. หากไม่ดำเนินการตาม Margin Call: ถ้าคุณไม่สามารถตอบสนองต่อ Margin Call ได้ทันเวลา โบรกเกอร์มีสิทธิ์ขายทรัพย์สินในบัญชีของคุณทันที โดยไม่ต้องแจ้งล่วงหน้า เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากการขาดทุนที่อาจเกิดขึ้นกับโบรกเกอร์เอง


ความเสี่ยงของ Margin Call

  • เสี่ยงถูกบังคับขายในเวลาที่ไม่เหมาะสม: ถ้าคุณเติมเงินเข้าบัญชีไม่ทัน โบรกเกอร์มีสิทธิ์ขายหุ้นหรือทรัพย์สินของคุณทันที ซึ่งบางครั้งอาจเกิดขึ้นในช่วงที่ราคากำลังตกต่ำ ส่งผลให้คุณต้องขายขาดทุนโดยไม่มีโอกาสรอให้ราคาฟื้นกลับมา

  • ขาดทุนหนักกว่าที่คิดเพราะใช้เงินกู้ลงทุน: เมื่อคุณเทรดด้วยเงินที่กู้มา แค่ราคาหุ้นลดลงเพียงเล็กน้อย ก็อาจส่งผลให้มูลค่าทรัพย์สินของคุณหายไปมากกว่าที่คาดไว้ จนอาจนำไปสู่การขาดทุนอย่างรวดเร็วโดยไม่ทันตั้งตัว

  • ความเครียดและแรงกดดันทางอารมณ์: การได้รับ Margin Call ไม่ใช่แค่เรื่องเงิน แต่มาพร้อมกับแรงกดดันให้คุณต้องรีบตัดสินใจ ไม่ว่าจะเติมเงินเพิ่ม ขายหุ้น หรือลดพอร์ต ซึ่งหากตัดสินใจพลาด ก็อาจทำให้เสียหายหนักกว่าเดิม


ตัวอย่างในสถานการณ์จริง: การล่มสลายของ Archegos Capital Management

ตัวอย่าง Margin Call - EBC

หนึ่งในกรณีตัวอย่างที่เกี่ยวข้องกับความเสี่ยงของ Margin Call คือเหตุการณ์ของบริษัท Archegos Capital Management ซึ่งเป็นสำนักงานการลงทุนส่วนบุคคลที่บริหารโดยนักลงทุนชื่อ Bill Hwang


ในเดือนมีนาคม 2021 Archegos ตกเป็นศูนย์กลางของการล่มสลายทางการเงินครั้งใหญ่ ที่ส่งผลกระทบต่อระบบการเงินทั่วโลก และก่อให้เกิดความเสียหายต่อธนาคารชั้นนำระดับโลก รวมมูลค่าหลายพันล้านดอลลาร์สหรัฐ


Archegos ใช้เครื่องมือทางการเงินที่เรียกว่า Total Return Swaps ในการสร้างสถานะการลงทุนแบบมีเลเวอเรจสูง ซึ่งเปิดโอกาสให้สามารถเข้าลงทุนในหุ้นรายใหญ่อย่าง ViacomCBS, Discovery, Baidu และ Tencent Music โดยไม่ต้องถือครองหุ้นจริง และไม่ต้องเปิดเผยความเสี่ยงต่อสาธารณะ


บริษัทมีอัตราเลเวอเรจสูงถึงประมาณ 8:1 หรือมากกว่านั้น ซึ่งหมายความว่าการเปลี่ยนแปลงของราคาหุ้นเพียงเล็กน้อยก็สามารถส่งผลกระทบอย่างมีนัยสำคัญต่อมูลค่าพอร์ต และเมื่อราคาหุ้นของ ViacomCBS ปรับตัวลดลงอย่างมาก หลังการประกาศเสนอขายหุ้นเพิ่มทุนในช่วงปลายเดือนมีนาคม 2021 มูลค่าพอร์ตของ Archegos ก็ลดลงตามอย่างรวดเร็ว


เหตุการณ์นี้กระตุ้นให้โบรกเกอร์รายใหญ่ ได้แก่ Goldman Sachs, Morgan Stanley, Credit Suisse และ Nomura ออกคำเตือน Margin Call เพื่อให้ Archegos เติมเงินสดหรือวางหลักประกันเพิ่มเติม แต่บริษัทไม่สามารถตอบสนองต่อคำเรียกหลักประกันได้ทัน


ผลที่ตามมาคือ โบรกเกอร์จึงเริ่มขายหุ้นที่ Archegos ถือครองเป็นจำนวนมากในเวลาใกล้เคียงกัน ส่งผลให้ราคาหุ้นเหล่านั้นปรับตัวลดลงอย่างรุนแรง และยิ่งเพิ่มความเสียหายต่อพอร์ตของบริษัทให้หนักขึ้น


ความเสียหายที่เกิดขึ้นมีมูลค่าสูงเป็นประวัติการณ์:

  • Credit Suisse ขาดทุนกว่า 5.5 พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

  • Nomura ขาดทุนประมาณ2พันล้านดอลลาร์สหรัฐ

  • Goldman Sachs และ Morgan Stanley รอดพ้นจากความเสียหายหนักเนื่องจากสามารถขายหุ้นได้ก่อน


กลยุทธ์ในการหลีกเลี่ยง Margin Call

1. ใช้เลเวอเรจอย่างระมัดระวัง

การเทรดด้วยมาร์จิ้นต้องยืมเงินในการลงทุน ซึ่งหมายความว่าคุณต้องจัดการความเสี่ยงให้ดี โดยเฉพาะในเรื่องของเลเวอเรจ หากคุณเลือกใช้เลเวอเรจสูงสุด แม้ว่าจะดูได้ผลในระยะสั้น แต่จะทำให้คุณมีพื้นที่ในการรับมือกับความผันผวนของตลาดน้อยมาก


หากคุณลดเลเวอเรจลง เช่น ใช้ 2:1 แทน 4:1 จะช่วยลดความเสี่ยงที่มูลค่าบัญชีจะลดลงจนถึงระดับที่ทำให้เกิด Margin Call ซึ่งทำให้คุณไม่ต้องเผชิญกับการเรียกเงินเพิ่มเติมจากโบรกเกอร์ในช่วงที่ตลาดไม่เป็นใจ


2. ติดตามสถานะบัญชีของคุณอย่างสม่ำเสมอ

การติดตามสถานะบัญชีของคุณอย่างใกล้ชิดเป็นวิธีที่มีประสิทธิภาพในการหลีกเลี่ยง Margin Call เพราะจะช่วยให้คุณรู้ว่ามูลค่าบัญชีของคุณเป็นอย่างไร ในขณะที่การติดตามระดับมาร์จิ้น และความต้องการรักษามาร์จิ้นจะทำให้คุณสามารถตอบสนองได้ทันทีหากสถานะการลงทุนของคุณเริ่มแย่ลง


ส่วนใหญ่แล้ว แพลตฟอร์มของโบรกเกอร์จะมีฟังก์ชันแจ้งเตือนและเครื่องมือที่ช่วยให้คุณติดตามความเสี่ยงได้อย่างง่ายและรวดเร็ว


3. ตั้งคำสั่ง Stop-Loss

การตั้งคำสั่ง Stop-Loss เป็นวิธีที่สำคัญในการปกป้องบัญชีมาร์จิ้น เพราะคุณสามารถกำหนดจุดราคาที่จะขายตำแหน่งของคุณได้ล่วงหน้า ซึ่งจะช่วยให้คุณจำกัดการขาดทุนและรักษามูลค่าบัญชีไม่ให้ลดลงต่ำจนเกินไป


การใช้ Stop-Loss ยังช่วยให้คุณหลีกเลี่ยงการตัดสินใจที่เกิดจากอารมณ์และสามารถดำเนินการได้ทันทีเมื่อตลาดมีความผันผวน


4. เก็บเงินสดหรือหลักทรัพย์ไว้เผื่อฉุกเฉิน

การมีเงินสดหรือหลักทรัพย์ที่สามารถนำมาใช้เป็นมาร์จิ้นเพิ่มเติมไว้ในบัญชี เปรียบเสมือนการเตรียมหมอนรองรับแรงกระแทกในวันที่ตลาดผันผวน หากเกิดการขาดทุนขึ้น คุณจะยังมีพื้นที่ให้หายใจ โดยไม่ต้องรีบเติมเงินหรือขายสินทรัพย์ทันทีเพื่อรักษาสถานะ


นักลงทุนที่วางแผนสำรองไว้ล่วงหน้าเช่นนี้ กจะสามารถประคองพอร์ตผ่านช่วงวิกฤตได้ดีกว่า และลดโอกาสถูก Margin Call ได้อย่างมาก โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีความไม่แน่นอนสูง


5. กระจายการลงทุนให้หลากหลาย

การกระจายการลงทุนไปในสินทรัพย์หลายประเภทช่วยลดโอกาสที่ความผันผวนของหุ้นตัวใดตัวหนึ่งจะส่งผลกระทบต่อพอร์ตของคุณทั้งหมด หากคุณทุ่มเงินไว้กับสินทรัพย์แค่ไม่กี่ตัว เช่น กรณีของ Archegos ที่เดิมพันหนักกับหุ้นไม่กี่บริษัท ความเสี่ยงก็จะยิ่งสูงขึ้นมาก


แต่ถ้าคุณลงทุนในหลายอุตสาหกรรม หลายสินทรัพย์ และหลายภูมิภาค แม้จะมีบางส่วนร่วงลง ก็ยังมีส่วนอื่นที่ช่วยพยุงพอร์ตไว้ได้ ทำให้ลดโอกาสที่พอร์ตจะพังจนโดน Margin Call แบบไม่ทันตั้งตัว


6. ทำความเข้าใจข้อกำหนดของโบรกเกอร์ให้ชัดเจน

โบรกเกอร์แต่ละรายอาจมีกฎเกณฑ์เกี่ยวกับมาร์จิ้นที่แตกต่างกัน ทั้งในส่วนของมาร์จิ้นเริ่มต้นและมาร์จิ้นที่ต้องรักษาไว้ บางรายอาจมีการเปลี่ยนแปลงข้อกำหนดเหล่านี้ โดยเฉพาะในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง


การทำความเข้าใจเงื่อนไขของโบรกเกอร์อย่างละเอียด และติดตามนโยบายที่อาจมีการเปลี่ยนแปลงอยู่เสมอ จะช่วยให้คุณเตรียมตัวรับมือได้ทัน ไม่ตื่นตระหนกหรือพลาดโอกาสในการปรับพอร์ตเมื่อสถานการณ์เปลี่ยนไปอย่างกะทันหัน


7. หลีกเลี่ยงหุ้นที่มีความผันผวนสูง

แม้สินทรัพย์ที่มีความผันผวนสูงจะน่าดึงดูดเพราะมีโอกาสทำกำไรได้รวดเร็ว แต่ก็แฝงด้วยความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะในบัญชีที่ใช้มาร์จิ้น เพราะความผันผวนอาจทำให้มูลค่าพอร์ตลดลงอย่างฉับพลัน หุ้นที่มีค่าเบต้า (Beta) สูงซึ่งหมายถึงความผันผวนมากกว่าตลาดโดยรวม มักมีแนวโน้มเปลี่ยนแปลงราคารุนแรง หากเกิดการปรับตัวลงกะทันหัน อาจส่งผลให้คุณถูกเรียกเก็บ Margin Call ได้ง่าย


การเลือกลงทุนในหุ้นหรือสินทรัพย์ที่มีความเคลื่อนไหวไม่รุนแรงเกินไป จะช่วยให้คุณบริหารความเสี่ยงได้ดีขึ้น และลดโอกาสที่จะต้องเผชิญกับแรงกดดันจากมาร์จิ้นในช่วงตลาดผันผวน


8. ปรับสมดุลพอร์ตอย่างสม่ำเสมอ

เมื่อสภาวะตลาดเปลี่ยน พอร์ตการลงทุนของคุณก็อาจเบี่ยงเบนจากแผนเดิมโดยไม่รู้ตัว การปรับสมดุลพอร์ตเป็นระยะจะช่วยให้คุณควบคุมความเสี่ยงให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมกับเป้าหมายและความสามารถในการรับความเสี่ยงของตนเอง


เช่น หากมีสินทรัพย์บางตัวให้ผลตอบแทนดีเกินคาด จนมีน้ำหนักมากในพอร์ต อาจถึงเวลาขายบางส่วนออก แล้วนำไปกระจายลงทุนในสินทรัพย์ที่ยังมีสัดส่วนต่ำ วิธีนี้ช่วยให้พอร์ตไม่เอียงไปในทางใดทางหนึ่งมากเกินไป ลดโอกาสเจอแรงเหวี่ยงแรง ๆ ที่อาจนำไปสู่การถูกเรียกเก็บ Margin Call ได้ในภายหลัง


บทสรุป

Margin Call คือเครื่องมือที่ช่วยในการจัดการความเสี่ยงในการเทรดมาร์จิ้น โดยจะเกิดขึ้นเมื่อมูลค่าบัญชีของคุณลดต่ำกว่าระดับที่โบรกเกอร์กำหนด


แม้ว่าการใช้เลเวอเรจจะช่วยเพิ่มผลตอบแทนได้ แต่ก็มาพร้อมกับความเสี่ยงสูง โดยเฉพาะความเสี่ยงที่อาจถูกบังคับขายสินทรัพย์ หรือขาดทุนมากขึ้น หากสถานการณ์ไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง


คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ

เทรดทอง Gold Spot VS Gold Future ต่างกันยังไง? รู้ไว้ก่อนลงทุน!

เทรดทอง Gold Spot VS Gold Future ต่างกันยังไง? รู้ไว้ก่อนลงทุน!

เรียนรู้การเทรดทอง Gold Spot อย่างละเอียด ตั้งแต่ความหมาย วิธีเทรด ข้อแตกต่างกับ Gold Future ปัจจัยกระทบราคา และเทคนิคทำกำไรในตลาดขาขึ้น-ขาลง

2025-06-20
การสิ้นสุดเส้นทแยงมุมเข้ากับกลยุทธ์การซื้อขายของคุณอย่างไร?

การสิ้นสุดเส้นทแยงมุมเข้ากับกลยุทธ์การซื้อขายของคุณอย่างไร?

เรียนรู้วิธีระบุรูปแบบแนวทแยงที่สิ้นสุด ทำความเข้าใจโครงสร้าง และค้นหาสัญญาณการกลับตัวที่สำคัญโดยใช้การวิเคราะห์คลื่นเอลเลียต

2025-06-20
ข้อใดไม่ใช่ตัวอย่างของกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยง?

ข้อใดไม่ใช่ตัวอย่างของกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยง?

ข้อใดไม่ใช่ตัวอย่างของกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงในการซื้อขาย เปิดเผยความเข้าใจผิดทั่วไปที่ทำให้เกิดการสูญเสียในการซื้อขาย

2025-06-20