กลยุทธ์เทรดฟิวเจอร์สำหรับมือใหม่ เข้าใจง่ายในทันที

2025-04-18
สรุป

การเทรดฟิวเจอร์เป็นโอกาสในการทำกำไรจากความผันผวนของราคาสินทรัพย์ต่าง ๆ สำหรับมือใหม่การเลือกกลยุทธ์ที่เหมาะสมและเข้าใจพื้นฐานสำคัญจะช่วยให้สามารถปรับตัวและเข้าใจตลาดได้ดีขึ้น

การเทรดฟิวเจอร์ (Futures Trading) เป็นอีกหนึ่งช่องทางที่เปิดโอกาสให้นักเทรดสามารถเก็งกำไรจากความผันผวนของราคาสินทรัพย์หลากหลายประเภท ไม่ว่าจะเป็นสินค้าโภคภัณฑ์ สกุลเงิน หรือดัชนีหุ้น


สำหรับผู้ที่เพิ่งเริ่มต้น การเข้าใจหลักการและเลือกใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมถือเป็นก้าวสำคัญในการรับมือกับตลาดที่มีความซับซ้อนเช่นนี้ บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับกลยุทธ์การเทรดฟิวเจอร์ที่เหมาะสำหรับมือใหม่ พร้อมข้อมูลเชิงลึกที่จะช่วยให้คุณวางแผนและตัดสินใจได้อย่างมั่นใจมากยิ่งขึ้น


ทำความเข้าใจการเทรดฟิวเจอร์

ทำความเข้าใจการเทรดฟิวเจอร์ - EBC

สัญญาฟิวเจอร์ คือข้อตกลงมาตรฐานในการซื้อหรือขายสินทรัพย์ในราคาที่กำหนดไว้ล่วงหน้า ณ วันที่ระบุในอนาคต สัญญาเหล่านี้ซื้อขายกันในตลาดที่มีการกำกับดูแล และมักถูกใช้เพื่อวัตถุประสงค์ในการป้องกันความเสี่ยงหรือเพื่อเก็งกำไร


จุดเด่นของการเทรดฟิวเจอร์ คือการใช้เลเวอเรจ ซึ่งเปิดโอกาสให้นักเทรดสามารถควบคุมสถานะที่มีมูลค่าสูงได้ โดยใช้เงินทุนเพียงเล็กน้อย ส่งผลให้ทั้งกำไรและขาดทุนมีโอกาสขยายตัวมากขึ้นตามไปด้วย


แนวคิดพื้นฐานที่ควรรู้ในการเทรดฟิวเจอร์

ก่อนจะเข้าสู่เรื่องของกลยุทธ์การเทรด สิ่งสำคัญคือต้องเข้าใจแนวคิดพื้นฐานบางประการดังต่อไปนี้:

  • เลเวอเรจ (Leverage): การเทรดฟิวเจอร์เกี่ยวข้องกับการใช้เลเวอเรจ ซึ่งเปิดโอกาสให้นักเทรดสามารถควบคุมสถานะขนาดใหญ่ได้ด้วยเงินทุนเพียงเล็กน้อย แม้จะเพิ่มโอกาสในการทำกำไร แต่ก็เพิ่มความเสี่ยงต่อการขาดทุนเช่นกัน

  • ข้อกำหนดมาร์จิ้น (Margin Requirements): นักเทรดจำเป็นต้องรักษายอดเงินขั้นต่ำในบัญชีซื้อขายที่เรียกว่า "มาร์จิ้น" เพื่อคงสถานะฟิวเจอร์ไว้ หากยอดเงินต่ำกว่าที่กำหนด จะถูกเรียกเงินเพิ่ม (Margin Call) เพื่อเติมเงินเข้าบัญชี

  • รายละเอียดของสัญญา (Contract Specifications): สัญญาฟิวเจอร์แต่ละฉบับจะมีรายละเอียดเฉพาะ เช่น สินทรัพย์อ้างอิง ขนาดของสัญญา วันหมดอายุ และค่าการเคลื่อนไหวของราคาขั้นต่ำ (Tick Size)


กลยุทธ์การเทรดฟิวเจอร์สำหรับมือใหม่

Beginner Futures Trading Strategies - EBC

1. กลยุทธ์ตามแนวโน้ม (Trend Following Strategy)

หนึ่งในกลยุทธ์ที่ง่ายและเหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นคือการเทรดตามแนวโน้ม วิธีนี้คือการระบุทิศทางของแนวโน้มในตลาดและเปิดสถานะซื้อหรือขายตามทิศทางนั้น โดยนักเทรดมักใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิค เช่น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ เพื่อช่วยประเมินทิศทางและความแข็งแกร่งของแนวโน้ม


ตัวอย่างเช่น เมื่อค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะสั้นตัดขึ้นเหนือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะยาว อาจเป็นสัญญาณของแนวโน้มขาขึ้น ซึ่งกระตุ้นให้เปิดสถานะซื้อ


ในทางกลับกัน หากเกิดการตัดลงในทิศทางตรงกันข้าม อาจบ่งชี้ถึงแนวโน้มขาลง และเป็นสัญญาณให้นักเทรดพิจารณาเปิดสถานะขาย กลยุทธ์นี้เน้นการใช้โมเมนตัมของตลาด โดยพยายามเกาะกระแสของแนวโน้มไปจนกว่าจะปรากฏสัญญาณของการกลับตัว


2. กลยุทธ์การเทรดแบบ Breakout (Breakout Trading Strategy)

กลยุทธ์ Breakout เน้นการระบุแนวรับและแนวต้านที่สำคัญ และเปิดสถานะเมื่อราคาทะลุผ่านระดับเหล่านั้น หากราคาทะลุแนวต้านขึ้นไป อาจบ่งชี้ถึงการเริ่มต้นของแนวโน้มขาขึ้น ในทางกลับกัน หากราคาหลุดแนวรับลงมาอาจเป็นสัญญาณของแนวโน้มขาลง


กลยุทธ์นี้ต้องอาศัยการติดตามกราฟราคาอย่างใกล้ชิด และควรยืนยันสัญญาณ Breakout ด้วยปริมาณการซื้อขายที่เพิ่มขึ้น หรือใช้อินดิเคเตอร์ทางเทคนิคอื่น ๆ เพื่อลดความเสี่ยงจากสัญญาณหลอก กลยุทธ์นี้จะมีประสิทธิภาพเป็นพิเศษในช่วงที่ตลาดมีความผันผวนสูง ซึ่งมีแนวโน้มที่จะเกิดการเคลื่อนไหวของราคาที่ชัดเจนมากขึ้น


3. กลยุทธ์การเทรดแบบ Pullback (Pullback Trading Strategy)

การเทรดแบบ Pullback คือการเข้าสถานะในช่วงที่ราคามีการย้อนกลับชั่วคราว ภายในแนวโน้มหลักที่ยังคงดำเนินอยู่ โดยทั่วไป หลังจากที่ราคามีการเคลื่อนไหวอย่างรุนแรง มักจะเกิดการปรับฐานหรือพักตัวระยะสั้น ก่อนที่แนวโน้มหลักจะกลับมาเคลื่อนต่อ นักเทรดจะมองหาช่วงพักตัวเหล่านี้เป็นโอกาสในการเข้าสู่ตลาดในจุดที่ได้ราคาน่าลงทุนมากขึ้น


ตัวอย่างเช่น ในแนวโน้มขาขึ้น นักเทรดอาจรอให้ราคาย่อตัวลงมาแตะแนวรับก่อน แล้วจึงเปิดสถานะซื้อ โดยคาดว่าแนวโน้มขาขึ้นจะกลับมาดำเนินต่อ กลยุทธ์นี้ต้องอาศัยความอดทนและความสามารถในการวิเคราะห์จุดกลับตัวชั่วคราวภายในแนวโน้มหลักอย่างแม่นยำ


4. กลยุทธ์การเทรดแบบสเปรด (Spread Trading Strategy)

การเทรดแบบสเปรดคือการซื้อและขายสัญญาฟิวเจอร์สองฉบับที่เกี่ยวข้องกันในเวลาเดียวกัน เพื่อทำกำไรจากความแตกต่างของราคา


การเทรดสเปรดอาจเกี่ยวข้องกับสัญญาฟิวเจอร์ของสินทรัพย์เดียวกันที่มีวันหมดอายุแตกต่างกัน (calendar spreads) หรือสินทรัพย์ที่แตกต่างกันแต่มีความสัมพันธ์กัน (inter-commodity spreads) การเทรดแบบสเปรดช่วยลดความเสี่ยงและความผันผวนเมื่อเทียบกับการเปิดสถานะเต็มตัวในตลาด


5. กลยุทธ์การเทรดแบบ Order Flow (Order Flow Trading)

การเทรดแบบ Order Flow คือการวิเคราะห์การไหลของคำสั่งซื้อและขายในเวลาจริง เพื่อทำนายการเคลื่อนไหวของราคาฉบับระยะสั้น โดยการตรวจสอบความลึกของตลาดและข้อมูลการซื้อขาย นักเทรดสามารถประเมินอารมณ์ของตลาดและระบุจุดกลับตัวหรือการดำเนินแนวโน้มต่อไป


กลยุทธ์นี้ต้องการเครื่องมือเฉพาะและความเข้าใจลึกซึ้งเกี่ยวกับโครงสร้างตลาดในระดับจุลภาค


6. กลยุทธ์การเทรดแบบการตัดกันของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ (Moving Average Crossover Strategy)

กลยุทธ์การตัดกันของค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ได้รับความนิยมในหมู่นักเทรดมือใหม่ เพราะมีความเรียบง่ายและเข้าใจได้ไม่ยาก เทคนิคนี้จะใช้ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่สองระยะเวลาบนกราฟราคา เช่น ค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ 50 วัน และ 200 วัน สัญญาณซื้อจะเกิดขึ้นเมื่อค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะสั้นตัดขึ้นเหนือค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะยาว ซึ่งมักบ่งชี้ว่าแนวโน้มขาขึ้นกำลังเริ่มต้น


ในทางกลับกัน หากค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะสั้นตัดลงต่ำกว่าค่าเฉลี่ยเคลื่อนที่ระยะยาว ก็จะเกิดสัญญาณขาย ซึ่งบ่งชี้ถึงแนวโน้มขาลง กลยุทธ์นี้ช่วยให้นักเทรดสามารถระบุการเปลี่ยนทิศทางของตลาดและตัดสินใจเข้าและออกจากตลาดได้อย่างแม่นยำและทันท่วงที


การพัฒนากลยุทธ์การเทรดและการบริหารความเสี่ยง

การมีแผนการเทรดที่ชัดเจนนั้นสำคัญมากในการประสบความสำเร็จในการเทรดฟิวเจอร์ แผนการเทรดควรกำหนดเป้าหมายในการลงทุน ความเสี่ยงที่สามารถรับได้ และกลยุทธ์ที่เหมาะสม ส่วนประกอบหลักที่ควรมีในแผนการเทรดได้แก่:

  • กฎการเข้าซื้อและออกจากการเทรด: กำหนดเกณฑ์ที่ชัดเจนในการตัดสินใจเข้าซื้อหรือออกจากการเทรดโดยใช้เครื่องมือทางเทคนิคการวิเคราะห์พื้นฐานหรือการผสมผสานทั้งสองอย่าง

  • การบริหารความเสี่ยง: กำหนดจำนวนเงินที่คุณยินดีจะเสี่ยงในแต่ละการเทรดและตั้งคำสั่ง Stop-Loss ให้เหมาะสมกับแผนการเทรด

  • ขนาดตำแหน่ง: ตัดสินใจว่าจะใช้เงินทุนเท่าใดในแต่ละการเทรดเพื่อให้กระจายความเสี่ยงและไม่เสี่ยงกับการลงทุนในตำแหน่งเดียวมากเกินไป


การบริหารความเสี่ยงที่สำคัญรวมถึง:

  • การตั้งคำสั่ง Stop-Loss: กำหนดจุดออกจากการเทรดล่วงหน้าเพื่อป้องกันการขาดทุนเกินไปในแต่ละการเทรด

  • การกระจายความเสี่ยง: หลีกเลี่ยงการลงทุนทั้งหมดในตลาดหรือสถานะเดียว

  • การทบทวนผลการเทรด: ประเมินผลการเทรดของคุณอย่างสม่ำเสมอและปรับกลยุทธ์ให้เหมาะสมกับสถานการณ์ตลาดที่เปลี่ยนไป


สรุป

การเทรดฟิวเจอร์เป็นโอกาสที่ดีในการทำกำไร แต่ก็มีความเสี่ยงที่ต้องพิจารณาอย่างรอบคอบ โดยเฉพาะสำหรับผู้เริ่มต้น การเข้าใจพื้นฐานและการเลือกใช้กลยุทธ์ที่เหมาะสมจะช่วยให้สามารถปรับตัวและทำความเข้าใจกับตลาดได้ดียิ่งขึ้น


สิ่งสำคัญคือต้องมีการเรียนรู้และปรับตัวตลอดเวลา การพัฒนากลยุทธ์และการปรับปรุงการเทรดอย่างต่อเนื่องจะทำให้เรามีโอกาสประสบความสำเร็จในตลาด การมีความกระหายในการหาความรู้และข้อมูลใหม่ ๆ จะช่วยให้เราก้าวหน้าและเติบโตในเส้นทางการเทรดได้อย่างมั่นคง


คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ

เทรดทอง Gold Spot VS Gold Future ต่างกันยังไง? รู้ไว้ก่อนลงทุน!

เทรดทอง Gold Spot VS Gold Future ต่างกันยังไง? รู้ไว้ก่อนลงทุน!

เรียนรู้การเทรดทอง Gold Spot อย่างละเอียด ตั้งแต่ความหมาย วิธีเทรด ข้อแตกต่างกับ Gold Future ปัจจัยกระทบราคา และเทคนิคทำกำไรในตลาดขาขึ้น-ขาลง

2025-06-20
การสิ้นสุดเส้นทแยงมุมเข้ากับกลยุทธ์การซื้อขายของคุณอย่างไร?

การสิ้นสุดเส้นทแยงมุมเข้ากับกลยุทธ์การซื้อขายของคุณอย่างไร?

เรียนรู้วิธีระบุรูปแบบแนวทแยงที่สิ้นสุด ทำความเข้าใจโครงสร้าง และค้นหาสัญญาณการกลับตัวที่สำคัญโดยใช้การวิเคราะห์คลื่นเอลเลียต

2025-06-20
ข้อใดไม่ใช่ตัวอย่างของกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยง?

ข้อใดไม่ใช่ตัวอย่างของกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยง?

ข้อใดไม่ใช่ตัวอย่างของกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงในการซื้อขาย เปิดเผยความเข้าใจผิดทั่วไปที่ทำให้เกิดการสูญเสียในการซื้อขาย

2025-06-20