การเทรดตราสารอนุพันธ์ช่วยให้นักเทรดสามารถป้องกันความเสี่ยงหรือเก็งกำไรได้โดยใช้สัญญาต่าง ๆ เช่น ฟิวเจอร์ส ออปชัน ฟอร์เวิร์ด และสวอป เรียนรู้พื้นฐานได้ในบทความนี้
การเทรดตราสารอนุพันธ์ (Derivative Trading) ได้กลายเป็นส่วนสำคัญของตลาดการเงินในปัจจุบัน ที่ช่วยให้นักลงทุนและสถาบันการเงินมีเครื่องมือหลากหลายในการจัดการความเสี่ยง และสร้างโอกาสจากการเปลี่ยนแปลงของราคา เพราะตราสารอนุพันธ์ช่วยให้เราได้เข้าถึงสินทรัพย์ต่าง ๆ โดยไม่จำเป็นต้องถือครองสินทรัพย์นั้นโดยตรง ทำให้มีความยืดหยุ่นมากกว่าการลงทุนแบบทั่วไป การเข้าใจพื้นฐานของตราสารอนุพันธ์ว่าคืออะไร ทำงานอย่างไร และใครใช้จึงเป็นเรื่องสำคัญสำหรับคนที่อยากลงทุนในตลาดนี้อย่างมั่นใจและมีความรับผิดชอบ
ตราสารอนุพันธ์ คือสัญญาทางการเงินที่มีมูลค่ามาจากสินทรัพย์ตัวใดตัวหนึ่งหรือกลุ่มสินทรัพย์ เช่น หุ้น พันธบัตร สินค้าโภคภัณฑ์ สกุลเงิน อัตราดอกเบี้ย หรือดัชนีตลาด แทนที่จะเป็นเจ้าของสินทรัพย์นั้นโดยตรง นักลงทุนจะทำสัญญาที่สะท้อนการเปลี่ยนแปลงของราคาสินทรัพย์ตัวนั้น ๆ
จุดประสงค์ของตราสารอนุพันธ์มีสองอย่างหลัก ๆ คือ เพื่อช่วยป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของราคา หรือเพื่อเก็งกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคา เช่น เกษตรกรอาจใช้ตราสารอนุพันธ์ในการล็อกกำหนดราคาขายล่วงหน้าของผลผลิต ส่วนนักเทรดอาจใช้ตราสารอนุพันธ์เพื่อทายทิศทางราคาน้ำมันดิบว่าจะขึ้นหรือลง
อนุพันธ์ที่ได้รับความนิยมและมีการซื้อขายกันมาก มักจะเกี่ยวข้องกับตลาดที่มีสภาพคล่องสูง เช่น ดัชนีหุ้นชื่อดังอย่าง FTSE 100 หรือ S&P 500 สกุลเงินต่างประเทศอย่าง EUR/USD และสินค้าโภคภัณฑ์อย่างทองคำหรือน้ำมันดิบ
ตราสารอนุพันธ์มีอยู่หลัก ๆ 4 ประเภท โดยแต่ละประเภทมีลักษณะและการใช้งานที่แตกต่างกันดังนี้:
1. สัญญาฟิวเจอร์ส (Futures Contracts)
ฟิวเจอร์สเป็นสัญญามาตรฐานที่ซื้อขายบนตลาดหลักทรัพย์ ซึ่งผู้ซื้อจะต้องซื้อ และผู้ขายจะต้องส่งมอบสินทรัพย์ในปริมาณที่กำหนด ตามราคาที่ตกลงไว้ล่วงหน้า ณ วันที่กำหนดในอนาคต สัญญานี้นิยมใช้กันในตลาดสินค้าโภคภัณฑ์และตลาดการเงิน
2. สัญญาออปชัน (Options Contracts)
ออปชันให้สิทธิแก่ผู้ซื้อในการซื้อหรือขายสินทรัพย์ในราคาที่กำหนดไว้ก่อนหรือในวันที่กำหนด แต่ไม่มีข้อผูกมัดต้องทำตามสิทธินั้นแบ่งเป็น
ออปชันซื้อ (Call option): สิทธิในการซื้อ
ออปชันขาย (Put option): สิทธิในการขาย
ต่างจากฟิวเจอร์สที่ออปชั่นอาจหมดอายุโดยไม่มีมูลค่า ทำให้ความเสี่ยงจำกัดอยู่ที่ค่าเบี้ยประกันที่จ่ายไป
3. สัญญาฟอร์เวิร์ด (Forwards Contracts)
ฟอร์เวิร์ดคล้ายกับฟิวเจอร์ส แต่จะซื้อขายแบบนอกตลาด (OTC) คือเจรจาตกลงกันระหว่างคู่สัญญาโดยตรง ทำให้สามารถปรับแต่งเงื่อนไขได้ตามต้องการ แต่มีความเสี่ยงจากคู่สัญญามากกว่าที่ไม่ได้ซื้อขายผ่านตลาดกลาง
4. สวอป (Swaps)
สวอปเป็นการแลกเปลี่ยนกระแสเงินสดหรือภาระผูกพันทางการเงิน โดยทั่วไปมักจะเป็นการแลกเปลี่ยนอัตราดอกเบี้ยหรือสกุลเงิน ตัวอย่างที่พบบ่อยคือ สวอปอัตราดอกเบี้ย ซึ่งคู่สัญญาหนึ่งจะแลกเปลี่ยนการจ่ายดอกเบี้ยแบบคงที่กับดอกเบี้ยแบบลอยตัว
ตราสารอนุพันธ์แต่ละประเภทนี้มีจุดประสงค์เฉพาะในการป้องกันความเสี่ยงหรือเก็งกำไร โดยมีความซับซ้อนและระดับความเสี่ยงที่แตกต่างกันไป
ราคาของตราสารอนุพันธ์มีความสัมพันธ์อย่างใกล้ชิดกับราคาของสินทรัพย์อ้างอิง แต่ยังมีปัจจัยสำคัญอื่น ๆ ที่ส่งผลต่อการประเมินมูลค่าด้วย ได้แก่
ราคาตลาดปัจจุบัน (Spot Market) ของสินทรัพย์อ้างอิง
ระยะเวลาที่เหลือจนกว่าจะหมดอายุสัญญา
ความผันผวนของสินทรัพย์
อัตราดอกเบี้ย
เงินปันผล (สำหรับตราสารอนุพันธ์ที่เกี่ยวกับหุ้น)
สำหรับออปชัน การตั้งราคาจะซับซ้อนมากขึ้น และมักใช้แบบจำลองทางคณิตศาสตร์ เช่น Black-Scholes หรือ Binomial Trees แบบจำลองเหล่านี้จะพิจารณาทั้งมูลค่าภายใน (ส่วนต่างระหว่างราคาสัญญาและราคาตลาด) และมูลค่าเวลา (ระยะเวลาที่เหลือจนหมดอายุ)
ส่วนราคาของฟิวเจอร์สจะรวมค่าใช้จ่ายในการถือครอง (cost of carry) ซึ่งครอบคลุมค่าเก็บรักษา ประกันภัย และดอกเบี้ยที่เกี่ยวข้องกับการถือสินทรัพย์ต้นแบบด้วย
การเข้าใจวิธีการตั้งราคาเหล่านี้เป็นสิ่งสำคัญในการช่วยให้ตัดสินใจเทรดได้อย่างมีข้อมูลและประเมินความเสี่ยงได้อย่างแม่นยำ
หน้าที่ที่สำคัญที่สุดประการหนึ่งของตราสารอนุพันธ์คือการใช้ในการป้องกันความเสี่ยง ซึ่งหมายถึงการลดความเสี่ยงจากความผันผวนที่ไม่พึงประสงค์ของราคาสินทรัพย์ เช่น:
ผู้นำเข้าสินค้าจากสหราชอาณาจักรอาจใช้สัญญาฟอร์เวิร์ดเงินตราต่างประเทศ เพื่อป้องกันความเสี่ยงจากความผันผวนของอัตราแลกเปลี่ยน GBP/USD
กองทุนบำเหน็จบำนาญอาจใช้สวอปอัตราดอกเบี้ย เพื่อปกป้องตัวเองจากการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย
ในทางกลับกัน การเก็งกำไรคือการคาดการณ์ทิศทางราคาของสินทรัพย์เพื่อทำกำไร โดยที่ตราสารอนุพันธ์ช่วยให้นักเทรดสามารถใช้เงินกู้หรือเลเวอเรจเพื่อเพิ่มผลตอบแทนในระยะสั้นได้ อย่างไรก็ตาม เลเวอเรจนี้ก็เพิ่มความเสี่ยงที่จะขาดทุนมากขึ้นเช่นกัน ดังนั้นการบริหารจัดการความเสี่ยงจึงเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง
นอกจากนี้ ตราสารอนุพันธ์ยังช่วยเพิ่มสภาพคล่องในตลาดและช่วยให้ราคาสินทรัพย์สะท้อนข้อมูลได้อย่างมีประสิทธิภาพมากขึ้น อีกทั้งยังช่วยให้นักลงทุนสามารถกระจายพอร์ตการลงทุนและเข้าถึงตลาดที่อาจไม่สามารถลงทุนโดยตรงได้ง่าย ๆ อีกด้วย
ตลาดตราสารอนุพันธ์มีผู้เข้าร่วมหลายกลุ่ม โดยแต่ละกลุ่มมีวัตถุประสงค์และกลยุทธ์ที่แตกต่างกัน ดังนี้:
1. นักป้องกันความเสี่ยง (Hedgers)
กลุ่มนี้ประกอบด้วยธุรกิจ ผู้จัดการกองทุน และสถาบันการเงิน ที่ต้องการปกป้องพอร์ตการลงทุนหรือกระแสรายได้จากความผันผวนของตลาด
2. นักเก็งกำไร (Speculators)
กลุ่มนี้รวมถึงนักเทรดรายย่อย บริษัทเทรดเพื่อผลกำไร และกองทุนเฮดจ์ฟันด์ ที่มุ่งหวังกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคา โดยมักใช้การวิเคราะห์ทางเทคนิคหรือพื้นฐาน
3. นักเก็งกำไรแบบอาร์บิทราจ (Arbitrageurs)
ผู้เล่นกลุ่มนี้ค้นหาความไม่สมดุลของราคาในตลาดหรือเครื่องมือที่แตกต่างกัน เพื่อทำกำไรด้วยความเสี่ยงต่ำจากการซื้อขายอนุพันธ์ที่คล้ายกันในตลาดต่าง ๆ
4. ผู้สร้างสภาพคล่อง (Market Makers)
โดยปกติจะเป็นสถาบันการเงินขนาดใหญ่หรือโบรกเกอร์ ที่ให้สภาพคล่องในตลาดด้วยการเสนอราคาซื้อขายอย่างต่อเนื่อง เพื่อให้ตลาดดำเนินไปอย่างราบรื่น
5. ศูนย์เคลียร์ริ่งและตลาดกลาง (Clearing Houses and Exchanges)
แพลตฟอร์มกลาง เช่น Chicago Mercantile Exchange (CME) หรือ Intercontinental Exchange (ICE) ที่ดูแลการชำระบัญชีและลดความเสี่ยงจากคู่สัญญา ศูนย์เคลียร์ริ่งรับประกันการปฏิบัติตามสัญญาที่ซื้อขายในแพลตฟอร์มเหล่านี้ ช่วยเพิ่มเสถียรภาพให้กับตลาด
การเทรดตราสารอนุพันธ์เป็นเครื่องมือที่ทรงพลังทั้งในด้านการบริหารความเสี่ยงและการเก็งกำไร ด้วยการเข้าใจว่าอนุพันธ์คืออะไร วิธีการตั้งราคา และกลุ่มผู้ใช้งาน นักลงทุนและนักเทรดมือใหม่จะสามารถดำเนินการในตลาดที่ซับซ้อนแต่มีอิทธิพลสูงนี้ได้อย่างมั่นใจมากขึ้น
สำหรับผู้เริ่มต้น สิ่งสำคัญคือการสร้างพื้นฐานที่มั่นคงก่อนที่จะก้าวเข้าสู่กลยุทธ์ที่ซับซ้อน ไม่ว่าจะเป็นการป้องกันความเสี่ยงในพอร์ต การศึกษากลยุทธ์ออปชัน หรือทำความเข้าใจกลไกของการเทรดฟิวเจอร์ส การเข้าใจพื้นฐานอย่างถ่องแท้ถือเป็นก้าวแรกที่สำคัญสู่การเป็นผู้เล่นในตลาดที่มีความรู้และมั่นใจมากขึ้น
คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ
เรียนรู้การเทรดทอง Gold Spot อย่างละเอียด ตั้งแต่ความหมาย วิธีเทรด ข้อแตกต่างกับ Gold Future ปัจจัยกระทบราคา และเทคนิคทำกำไรในตลาดขาขึ้น-ขาลง
2025-06-20เรียนรู้วิธีระบุรูปแบบแนวทแยงที่สิ้นสุด ทำความเข้าใจโครงสร้าง และค้นหาสัญญาณการกลับตัวที่สำคัญโดยใช้การวิเคราะห์คลื่นเอลเลียต
2025-06-20ข้อใดไม่ใช่ตัวอย่างของกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงในการซื้อขาย เปิดเผยความเข้าใจผิดทั่วไปที่ทำให้เกิดการสูญเสียในการซื้อขาย
2025-06-20