简体中文 繁體中文 English 한국어 日本語 Español Bahasa Indonesia Tiếng Việt Português Монгол العربية हिन्दी Русский ئۇيغۇر تىلى

การเคลื่อนไหวของหุ้นเทคโนโลยีรายใหญ่กำลังส่งสัญญาณการปรับฐานหรือไม่?

เผยแพร่เมื่อ: 2025-08-01    อัปเดตเมื่อ: 2025-08-04

หุ้นเทคโนโลยีเป็นแรงขับเคลื่อนหลักของตลาดวอลล์สตรีตตลอดช่วงปี 2025 แต่ความเคลื่อนไหวล่าสุดของบริษัทยักษ์ใหญ่ในกลุ่มนี้กำลังจุดประกายคำถามใหม่ ๆ บนโต๊ะเทรดทั่วทั้งตลาดว่า: ความผันผวนในช่วงนี้ของหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ อาจเป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าของการปรับฐานในวงกว้างหรือเปล่า? 


หลังจากที่กลุ่ม "Magnificent Seven" หรือหุ้น 7 นางฟ้า ซึ่งรวมถึงบริษัทชั้นนำอย่าง Microsoft, Amazon, Apple, Meta, Nvidia, Alphabet และ Tesla ทำสถิติสูงสุดต่อเนื่องในช่วงเดือนกรกฎาคม กลุ่มนี้กลับเริ่มสร้างแรงสั่นสะเทือนต่อบรรยากาศของตลาด ด้วยผลประกอบการที่ผันผวนและปฏิกิริยาที่ไม่แน่นอนจากนักลงทุน มาดูกันว่าอะไรคือปัจจัยที่กระตุ้นความกังวลนี้ วิเคราะห์ตัวเลขที่เกี่ยวข้องและพิจารณาว่าการปรับฐานอาจใกล้เข้ามาหรือไม่


แรงกระแทกจากผลประกอบการของ Amazon: กำไรสูงเป็นประวัติการณ์ แต่ราคาหุ้นดิ่งลง

Amazon ดิ่งลง

Amazon กลายเป็นข่าวพาดหัวทั่วโลกหลังรายงานผลประกอบการไตรมาส 2 ปี 2025 ซึ่งหากดูจากตัวเลขแล้วถือว่าน่าประทับใจ:


  • กำไรสุทธิ: พุ่งขึ้น 35% เมื่อเทียบกับปีก่อน อยู่ที่ 18.2 พันล้านดอลลาร์


  • รายได้: เพิ่มขึ้น 13% เป็น 167.7 พันล้านดอลลาร์ สูงกว่าที่นักวิเคราะห์คาดไว้


แต่แม้ผลประกอบการจะออกมาดี ราคาหุ้นของ Amazon กลับร่วงลงมากกว่า 7% ในการซื้อขายนอกเวลาทำการและในตลาดยุโรป ทำไมนักลงทุนจึงเทขาย? คำตอบคือ ตลาดกังวลเกี่ยวกับการชะลอตัวของธุรกิจคลาวด์ โดยรายได้จาก AWS เพิ่มขึ้น 17.5% เป็น 30.9 พันล้านดอลลาร์ ซึ่งแม้จะเติบโต แต่ก็ยังช้ากว่าคู่แข่งอย่าง Microsoft Azure


นอกจากนี้ แนวโน้มในอนาคตของบริษัทก็บ่งชี้ถึงการใช้จ่ายอย่างระมัดระวัง ต้นทุนโครงสร้างพื้นฐานด้าน AI ที่สูงขึ้น และความกังวลว่าการเติบโตของคลาวด์อาจชะลอลง ผลคือ แม้ตัวเลขรายงานจะน่าประทับใจ แต่ตลาดกลับให้ความสำคัญกับความเสี่ยงด้านกำไรและการเติบโตในอนาคตมากกว่า


Microsoft และ Meta ผลประกอบการดี แต่ตลาดยังคงระมัดระวัง


หากเปรียบเทียบกับ Amazon ที่สะดุด Microsoft และ Meta กลับรายงานผลประกอบการที่แข็งแกร่ง:


  • Microsoft: รายได้จาก Azure ทะลุ 75 พันล้านดอลลาร์ต่อปี ช่วยให้ราคาหุ้นพุ่งขึ้น 8–12% หลังรายงานผลประกอบการไตรมาส 2


  • Meta Platforms: ราคาหุ้นพุ่งขึ้นหลังเวลาทำการเช่นกัน หลังยอดขายเกินคาดและให้มุมมองบวกต่อไตรมาสถัดไป


  • Apple: ราคาหุ้นเพิ่มขึ้น 2% หลังรายงานรายได้ไตรมาส 3 สูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 94 พันล้านดอลลาร์ โดยมียอดขาย iPhone และบริการทำสถิติใหม่


แม้บริษัทเหล่านี้จะสร้างความเชื่อมั่นให้กับนักลงทุน แต่ก็ไม่สามารถหยุดการปรับลงของดัชนีตลาดโดยรวมได้ โดยในวันพฤหัสบดีฟิวเจอร์สของ S&P 500 ลดลง 0.16% และ Nasdaq 100 ลดลง 0.23% สะท้อนถึงความรู้สึกระแวดระวังที่ยังแฝงอยู่ในตลาด


สัญญาณผสมปะปนในเบื้องหลัง


ผลประกอบการล่าสุดเผยให้เห็นภาพที่แตกต่างกัน:


  • ความแข็งแกร่งของ Microsoft และ Meta ช่วยบดบังความกังวลในภาคเทคโนโลยี โดยเฉพาะเมื่อ Amazon แสดงท่าทีระมัดระวังต่ออนาคตของธุรกิจคลาวด์


  • หุ้นเทคโนโลยีขนาดเล็กและหุ้นที่อิงกับการใช้จ่ายผู้บริโภคบางส่วนให้ผลตอบแทนต่ำกว่าตลาด สะท้อนความกระตือรือร้นในวงกว้างที่ลดลง


  • ฟิวเจอร์สและดัชนีความผันผวน (Volatility) บ่งชี้ว่าเทรดเดอร์เริ่มป้องกันความเสี่ยงและเตรียมรับมือกับความเคลื่อนไหวที่รุนแรงมากขึ้น โดยเฉพาะเมื่อประเด็นภาษีและการค้ากลับมาเป็นประเด็นอีกครั้ง


บริบทของตลาด: การฟื้นตัวกำลังตกอยู่ในความเสี่ยงหรือไม่?


แม้ภาคเทคโนโลยีขนาดใหญ่จะเป็นผู้นำตลาด แต่แรงส่งของตลาดโดยรวมเริ่มมีรอยร้าว:


  • Microsoft ได้สร้างประวัติศาสตร์ด้วยมูลค่าตลาดที่แตะ 4 ล้านล้านดอลลาร์ กลายเป็นบริษัทที่สองที่ทำได้ แต่แม้จะมีการเติบโตอันน่าทึ่ง ตลาดก็ยังไม่สามารถหลีกเลี่ยงการหมุนเวียนกลุ่มหุ้นและการขายทำกำไรได้


  • การร่วงลงของหุ้น Amazon หลังรายงานผลประกอบการได้สร้างแรงสั่นสะเทือนต่อทั้งหุ้นกลุ่มเทคโนโลยีและดัชนีตลาดโดยรวม เพิ่มความกังวลเกี่ยวกับมูลค่าหุ้นที่สูงเกินไปและความคาดหวังที่มากเกินจริง


  • นอกภาคเทคโนโลยี ข้อมูลเศรษฐกิจยังคงผสมผสานกัน :การเติบโตของเศรษฐกิจสหรัฐยังแข็งแกร่ง (GDP ไตรมาส 2 โต 3.0%) แต่ความเชื่อมั่นของผู้บริโภคและผลตอบแทนจากหุ้นขนาดเล็กกลับล้าหลัง


นักลงทุนกังวลเรื่องอะไร?

นักลงทุนมีความกังวล

พายุแห่งความไม่แน่นอนจากหลายปัจจัยกำลังก่อให้เกิดคำถามเกี่ยวกับความเป็นไปได้ของการปรับฐานในตลาด:


  • ความเสี่ยงในการประเมินมูลค่า: หุ้นเทคโนโลยีรายใหญ่หลายตัวมีการซื้อขายใกล้หรือในระดับมูลค่าสูงสุดเป็นประวัติการณ์ ส่งผลให้มีความเสี่ยงที่จะเกิดการกลับตัวอย่างรุนแรงมากขึ้นหากการเติบโตสะดุดหรือคำแนะนำไม่เป็นไปตามที่คาดหวัง


  • การกระจุกตัวของกำไร: กำไรในตลาดเริ่มกระจุกอยู่ในหุ้นขนาดใหญ่น้อยราย ขณะที่หุ้นกลุ่มอื่นตามไม่ทัน ซึ่งมักเป็นสัญญาณเบื้องต้นของตลาดที่ใกล้จะถึงจุดสูงสุด


  • ภาษีศุลกากรและอุปสรรคทางการค้า: อัตราภาษีใหม่ของประธานาธิบดีทรัมป์ (ตั้งแต่ 10% จนถึงสูงสุด 41%) ได้จุดประกายความกังวลเกี่ยวกับห่วงโซ่อุปทาน โดยเฉพาะกับบริษัทเทคโนโลยีข้ามชาติ


  • ความระมัดระวังของเฟดและความไม่แน่นอนของนโยบาย: เฟดคงอัตราดอกเบี้ยไว้ที่ 4.25–4.50% และไม่มีแนวทางที่ชัดเจนในการลดอัตราดอกเบี้ย ซึ่งอาจส่งผลกระทบต่อกลุ่มหุ้นที่ไวต่ออัตราดอกเบี้ย


  • การทำกำไรหลังจากการเติบโตอย่างแข็งแกร่ง: หลังจากตลาดปรับตัวขึ้นหลายสัปดาห์ แม้เพียงความผิดหวังเล็กน้อย เช่น ผลประกอบการของ AWS ที่โตช้ากว่าคาด ก็สามารถจุดชนวนให้เกิดการปรับลงที่รุนแรงได้


ตารางแนวโน้ม: หุ้นเทคโนโลยีจะนำพาตลาดไปทางไหน?

สถานการณ์ ปฏิกิริยาของตลาดที่เป็นไปได้
หุ้นเทคโนโลยีผลประกอบการดี + แนวโน้มแข็งแกร่ง ดัชนีมีเสถียรภาพ, เกิดการหมุนเวียนภายในกลุ่มเทค
แนวโน้มต่ำกว่าคาด / ต้นทุนสูงขึ้น การปรับฐานรุนแรงทั้งใน S&P และ Nasdaq, นักลงทุนหลีกเลี่ยงความเสี่ยง
กลุ่มอื่น ๆ ยังอ่อนแอ ความกว้างของตลาดแคบลง, การเข้าซื้อแบบเลือกเป็นรายตัว
ความตึงเครียดด้านนโยบาย / การค้ารุนแรงขึ้น ความผันผวนเพิ่มขึ้น, นักลงทุนแห่เข้าหาสินทรัพย์ปลอดภัยและสภาพคล่องสูง


บทสรุป: ระวังตัว แต่ยังไม่ถึงขั้นตื่นตระหนก


แม้การเคลื่อนไหวที่รุนแรงของหุ้น Amazon และบรรยากาศที่ระมัดระวังในตลาดฟิวเจอร์สจะควรค่าแก่การจับตา แต่อารมณ์ของตลาดยังไม่ถึงจุดสิ้นหวัง กลุ่มหุ้นเทคโนโลยีขนาดใหญ่ยังคงเป็นผู้นำตลาด แต่ในขณะที่ความผันผวนเพิ่มขึ้นและความคาดหวังสูงเป็นพิเศษ ตลาดอาจพร้อมเข้าสู่ภาวะการปรับฐานหากมีสัญญาณลบเพิ่มขึ้น


ณ ตอนนี้นักลงทุนที่มีประสบการณ์กำลังจับตาทั้ง "ตัวเลข" และ "เรื่องเล่า" อย่างใกล้ชิด โดยพิจารณาว่า “Magnificent Seven” จะสามารถรักษาความแข็งแกร่งได้หรือไม่ ในขณะที่ตลาดส่วนที่เหลือเริ่มอ่อนแรง ไม่ว่าจะเป็นสัญญาณเตือนล่วงหน้าหรือเพียงแค่การพักฐานชั่วคราว สิ่งหนึ่งที่ชัดเจนคือ ยุคที่หุ้นเทคโนโลยีพาตลาดขึ้นอย่างง่ายดายอาจจบลงแล้วอย่างน้อยก็ในระยะนี้


ข้อสงวนสิทธิ์: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็น (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็น) คำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ได้เป็นคำแนะนำจาก EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ

บทความแนะนำ
เทรดเงิน (Silver) ปี 2025 โอกาสทำกำไรหรือสัญญาณพักตัว?
ตอบชัด ADP คืออะไร สัญญาณแรกของแรงงานสหรัฐฯ ก่อน NFP
บริษัท Medline เตรียม IPO สุดยิ่งใหญ่แห่งปี 2025
Hollow Candle คืออะไร? เคล็ดลับจับจุดกลับตัวตลาด
ลงทุนบิทคอยน์วันนี้ 100 ดอลลาร์ จะได้กำไรเท่าไหร่?