กำลังมองหาผลตอบแทนดีๆ ในปี 2025 หรือไม่?หาคำตอบกับ 9 กองทุน ETF ที่มีมูลค่ามากสุด ผสมผสานปัจจัยพื้นฐานที่แข็งแกร่งกับศักยภาพในการเติบโตในระยะยาว
การลงทุนแบบเน้นมูลค่า (Value Investing) คือการซื้อหุ้นของบริษัทที่ราคาซื้อขายต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริงของบริษัท ซึ่งในช่วงหลังได้รับความสนใจอีกครั้ง ประวัติศาสตร์แสดงให้เห็นว่าการลงทุนแบบเน้นมูลค่าสามารถให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าหุ้นเติบโตแบบสุดโต่งในระยะยาว ตั้งแต่ปี 1926 หุ้นแบบเน้นมูลค่ามีการเติบโตเป็นมูลค่า 131,534 ดอลลาร์ เทียบกับหุ้นเติบโตที่เติบโตเป็น 11,744 ดอลลาร์
แม้ว่าหุ้นเติบโตจะนำตลาดในช่วงปลายปี 2010 ถึงต้นปี 2020 แต่ในปี 2022 และ 2023 หุ้นเน้นมูลค่ากลับมาแข็งแกร่งอีกครั้ง ซึ่งส่งสัญญาณว่านี่อาจเป็นโอกาสที่ดีสำหรับนักลงทุนที่เน้นเงินปันผล ความมั่นคง และอัตราส่วนราคาต่อกำไรที่สมเหตุสมผล
ในบทความนี้จะพูดถึง 9 กองทุน ETF ที่มีมูลค่ามากที่สุดในปี 2025 พร้อมวิเคราะห์พอร์ตการลงทุน ค่าธรรมเนียม ผลการดำเนินงาน และบทบาทในการลงทุนระยะยาว
1.กองทุน Vanguard Value ETF (VTV)
สรุป: ติดตามดัชนี CRSP US Large Cap Value
ผลตอบแทนเฉลี่ยต่อปี 5 ปี: +13.32%
อัตราค่าธรรมเนียม (Expense Ratio): 0.04%
มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM): ประมาณ 184 พันล้านดอลลาร์
อัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield): ประมาณ 2.29%
เป็นหนึ่งในกองทุน ETF เน้นมูลค่าที่ใหญ่และได้รับความนิยมมากที่สุด โดย VTV ให้การเข้าถึงหุ้นขนาดใหญ่เน้นมูลค่าในสหรัฐฯ อย่างกว้างขวาง พร้อมอัตราค่าธรรมเนียมต่ำมากเพียง 0.04% ซึ่งเหมาะสำหรับนักลงทุนระยะยาวที่ต้องการหุ้นที่จ่ายเงินปันผลมั่นคงและมีพื้นฐานแข็งแกร่ง
2. กองทุน ETF iShares Russell 1000 Value (IWD)
สรุป: ครอบคลุมหุ้นมูลค่าขนาดใหญ่และขนาดกลางในสหรัฐฯ ผ่านดัชนี Russell 1000 Value
ผลตอบแทนเฉลี่ย 5 ปี: +12.12%
อัตราค่าธรรมเนียม (Expense Ratio): 0.19%
มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM): ประมาณ 61 พันล้านดอลลาร์
อัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield): ประมาณ 1.86%
IWD ติดตามดัชนี Russell 1000 Value ซึ่งให้การกระจายการลงทุนในบริษัทสหรัฐฯ ที่มีฐานมั่นคง มีศักยภาพในการทำกำไร และมีมูลค่าที่เหมาะสม เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการสมดุลระหว่างการเติบโตและความผันผวนที่ลดลง
3. กองทุน Vanguard Small‑Cap Value (VBR)
สรุป: ติดตามดัชนี CRSP US Small Cap Value
ผลตอบแทนเฉลี่ย 5 ปี: +13.64%
อัตราค่าธรรมเนียม (Expense Ratio): 0.07%
มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM): ประมาณ 52 พันล้านดอลลาร์
อัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield): ประมาณ 2.23%
กองทุน VBR มอบการลงทุนที่เน้นในบริษัทขนาดเล็กของสหรัฐฯ ที่มีมูลค่าต่ำกว่าที่ควร โดยผสมผสานศักยภาพการเติบโตสูงของหุ้นขนาดเล็กกับความมั่นคงที่เน้นมูลค่า เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการผลตอบแทนระยะยาวสูงจากกลุ่มอุตสาหกรรมที่มีวัฏจักรเศรษฐกิจชัดเจน
4. กองทุน Vanguard Mid‑Cap Value (VOE)
สรุป: ติดตามดัชนี CRSP US Mid‑Cap Value
ผลตอบแทนเฉลี่ย 5 ปี: +12.63%
อัตราค่าธรรมเนียม (Expense Ratio): 0.07%
มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM): ประมาณ 29 พันล้านดอลลาร์
อัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield): ประมาณ 2.31%
กองทุน VOE มอบการลงทุนที่สมดุลระหว่างความมั่นคงและโอกาสเติบโต โดยเน้นบริษัทขนาดกลางที่มีราคาหุ้นต่ำกว่ามูลค่าที่แท้จริง เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการเติบโตแต่ไม่ต้องการความผันผวนสูงเท่าหุ้นขนาดเล็ก
5. กองทุน ETF ฟิเดลิตี้ ไฮ ดิวิเดนด์ (FDVV)
สรุป: เน้นลงทุนในหุ้นขนาดใหญ่และขนาดกลางของสหรัฐฯ ที่มีการเติบโตของเงินปันผล
ผลตอบแทนเฉลี่ย 5 ปี: +16.61%
อัตราค่าธรรมเนียม (Expense Ratio): 0.16%
มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM): ประมาณ 5.3 พันล้านดอลลาร์
อัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield): ประมาณ 3.02%
กองทุน Fidelity High Dividend ETF (FDVV) รวมลักษณะของหุ้นมูลค่ากับรายได้ที่มั่นคง โดยเน้นหุ้นที่มีการเติบโตของเงินปันผลอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้ได้รับผลตอบแทนรวมที่น่าสนใจจากทั้งเงินปันผลและการเพิ่มขึ้นของมูลค่าหุ้น
6. กองทุน SPDR Russell 1000 Yield Focus (ONEY)
สรุป: เน้นลงทุนในหุ้นที่มีผลตอบแทนเงินปันผลสูงจาก Russell 1000 Value
ผลตอบแทนเฉลี่ย 5 ปี: +15.48%
อัตราค่าธรรมเนียม (Expense Ratio): 0.20%
มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM): 832 ล้านดอลลาร์
อัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield): ประมาณ 3.23%
กองทุน SPDR Russell 1000 Yield Focus ETF (ONEY) ถูกออกแบบมาสำหรับนักลงทุนที่เน้นรายได้ โดยเน้นหุ้นที่มีผลตอบแทนเงินปันผลสูงในดัชนี Russell 1000 Value กองทุนนี้มอบรายได้เงินปันผลที่แข็งแกร่ง พร้อมโอกาสการเติบโตของมูลค่าหุ้น จึงเป็นตัวเลือกที่ดีสำหรับพอร์ตการลงทุนระยะยาวที่ต้องการทั้งผลตอบแทนและมูลค่า
7. กองทุน ETF มูลค่าเงินปันผลกลุ่มทุน (CGDV)
สรุป: บริหารโดย Capital Group แบบเชิงรุก เน้นลงทุนในหุ้นที่จ่ายเงินปันผลและมีมูลค่าต่ำกว่าที่ควร
ผลตอบแทน 1 ปี: มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) +14.91%
ราคาตลาด: +14.77% (ณ วันที่ 31 พฤษภาคม 2025)
อัตราค่าธรรมเนียม (Expense Ratio): 0.33%
มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM): ประมาณ 17.65 พันล้านดอลลาร์ (ณ วันที่ 9 มิถุนายน 2025)
อัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield): ผลตอบแทน 30 วันตามมาตรฐาน SEC: 1.73%
ผลตอบแทนย้อนหลัง 12 เดือน: 1.49%
กองทุน CGDV รวมจุดแข็งของเงินปันผลเข้ากับการลงทุนแบบมูลค่า โดยคัดเลือกหุ้นคุณภาพสูงที่มีศักยภาพในการเพิ่มรายได้ กองทุนนี้บริหารแบบเชิงรุก ทำให้สามารถปรับตัวเข้ากับสภาพตลาดได้ดีในขณะที่ยังคงเน้นการลงทุนแบบมูลค่า
8. กองทุน ETF RAFI US 1000 (PRF)
สรุป: ให้ความสำคัญกับน้ำหนักหุ้นตามปัจจัยพื้นฐาน เช่น มูลค่าทางบัญชี (book value), กระแสเงินสด, ยอดขาย และเงินปันผล
ผลตอบแทน 1 ปี (ณ 31 มีนาคม 2025): มูลค่าทรัพย์สินสุทธิ (NAV) +6.89%, ราคาตลาด +6.98%
อัตราค่าธรรมเนียม (Expense Ratio): 0.33%
มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM): ประมาณ 7.78 พันล้านดอลลาร์
อัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield): ผลตอบแทน 30 วันตามมาตรฐาน SEC: 1.88%
กองทุน PRF ใช้วิธีการถ่วงน้ำหนักหุ้นตามปัจจัยพื้นฐานแทนการถ่วงน้ำหนักตามมูลค่าตลาดแบบดั้งเดิม จึงเน้นลงทุนในหุ้นคุณภาพสูงที่มีคะแนนดีในตัวชี้วัดทางการเงินหลัก เหมาะกับนักลงทุนที่ต้องการแนวทางตามกฎเกณฑ์และใช้การวิเคราะห์เชิงปริมาณ
9. กองทุน ETF มูลค่าหลักทรัพย์ตามราคาตลาดสากล (DFIV)
สรุป: ลงทุนในหุ้นขนาดกลางและขนาดเล็กที่มีมูลค่าต่ำในต่างประเทศ
ผลตอบแทนรวม 1 ปี: +20.8%
อัตราค่าธรรมเนียม (Expense Ratio): 0.27%
มูลค่าสินทรัพย์ภายใต้การบริหาร (AUM): ประมาณ 11.76 พันล้านดอลลาร์
อัตราผลตอบแทนเงินปันผล (Dividend Yield): ประมาณ 3.56%–3.89%
กองทุน DFIV ให้การกระจายการลงทุนในระดับสากล โดยเน้นหุ้นมูลค่าต่ำในตลาดต่างประเทศที่ไม่ใช่สหรัฐฯ ผลงานที่แข็งแกร่งในปี 2025 พร้อมกับอัตราผลตอบแทนเงินปันผลสูง ทำให้เหมาะสำหรับนักลงทุนที่ต้องการรับความเสี่ยงในระดับโลกพร้อมกับเน้นกลยุทธ์ลงทุนแบบมูลค่า (Value)
ค่าธรรมเนียมต่ำและขนาดกองทุนใหญ่: ผลิตภัณฑ์ของ Vanguard เช่น VTV, VBR, และ VOE มีอัตราค่าธรรมเนียมไม่เกิน 0.07% ซึ่งดึงดูดนักลงทุนระยะยาว
เงินปันผลและผลตอบแทน: กองทุน FDVV, ONY, และ CGDV มีอัตราผลตอบแทนเงินปันผลอยู่ระหว่าง 2.3–3.2% ช่วยเพิ่มผลตอบแทนรวมในช่วงตลาดที่ไม่แน่นอน
ความหลากหลายและเน้นปัจจัยพื้นฐาน: กองทุน PRF และ DFIV ใช้กลยุทธ์ที่ขับเคลื่อนด้วยปัจจัยพื้นฐาน (factor-driven) เพื่อจับโอกาสรับผลตอบแทนแบบมูลค่าที่เป็นระบบ
การเข้าถึงระดับโลก: กองทุน DFIV เพิ่มโอกาสลงทุนในหุ้นมูลค่าต่ำในต่างประเทศ ช่วยกระจายความเสี่ยงที่เฉพาะเจาะจงกับตลาดสหรัฐฯ
เคล็ดลับในการสร้างพอร์ตการลงทุน Core Value
ตัวอย่างการจัดสรรเงินลงทุนอาจเป็นดังนี้:
40% VTV (มูลค่าหุ้นขนาดใหญ่)
20% VOE (มูลค่ากลางตลาด)
15% VBR (มูลค่าหุ้นขนาดเล็ก)
10% FDVV (การเติบโตของเงินปันผล)
10% PRF (มูลค่าพื้นฐาน)
5% DFIV (ค่าทั่วโลก)
การจัดพอร์ตแบบนี้ช่วยผสมผสานการกระจายขนาดหุ้น โอกาสรับผลตอบแทนจากเงินปันผล และการกระจายทางภูมิศาสตร์ เพื่อสร้างมุมมองการลงทุนแบบมูลค่าที่ครบถ้วนสมดุล
ในปี 2025 สภาพแวดล้อมสำหรับการลงทุนในกองทุน ETF ที่มีมูลค่าได้รับความน่าสนใจเป็นอย่างมาก เมื่อหุ้นกลุ่มเติบโตเริ่มเข้าสู่ช่วงโตเต็มที่ หุ้นที่มีมูลค่าต่ำกว่าที่ควรจะเป็น (undervalued) จึงกลายเป็นโอกาสที่ให้ทั้งผลตอบแทนและความมั่นคง
โดยการเลือกกองทุนอย่าง VTV, FDVV, PRF และกองทุนอื่นๆ ที่ได้กล่าวถึงข้างต้น นักลงทุนจะสามารถสร้างพอร์ตการลงทุนที่มีต้นทุนต่ำ กระจายความเสี่ยงได้ดี และสร้างรายได้จากเงินปันผล ซึ่งเหมาะสำหรับการเติบโตในระยะยาว
คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ
USD/CAD พุ่งขึ้นใกล้เส้น EMA 20 วัน เนื่องจากความต้องการสินทรัพย์ปลอดภัยช่วยหนุนค่าเงินดอลลาร์ ความตึงเครียดทางภูมิรัฐศาสตร์และการเจรจาการค้าส่งผลต่อความรู้สึกของตลาด
2025-06-19ต้องการซื้อขายแบบ breakout ให้ประสบความสำเร็จหรือไม่ เรียนรู้วิธีการ breakout และทดสอบซ้ำที่มืออาชีพใช้เพื่อรับการซื้อขายที่มีความน่าจะเป็นสูงพร้อมความเสี่ยงที่ลดลง
2025-06-19สำรวจตัวบ่งชี้ปริมาณอันทรงพลัง 5 ตัว ได้แก่ OBV, VWAP, A/D Line, CMF และ Volume Profile เพื่อปรับปรุงการยืนยันแนวโน้มและจังหวะเวลาการซื้อขาย
2025-06-19