รู้จัก 5 ประเภทพันธบัตรและวิธีทำงานแบบง่าย ๆ เพื่อช่วยคุณเลือกลงทุนให้เหมาะกับตัวเอง
เมื่อพูดถึงการลงทุน หลายคนมักจะนึกถึงหุ้นเป็นอันดับแรก แต่ยังมีสินทรัพย์อีกประเภทหนึ่งที่ทรงพลังไม่แพ้กัน ซึ่งสามารถเพิ่มความมั่นคงรายได้ประจำ และการกระจายความเสี่ยงให้กับพอร์ตของคุณได้ — นั่นคือ "พันธบัตร" โดยพันธบัตรเป็นองค์ประกอบสำคัญของการลงทุนในตราสารหนี้ เนื่องจากให้ผลตอบแทนที่คาดการณ์ได้และมีความผันผวนน้อยกว่าหุ้น
ในบทความนี้ เราจะพาคุณไปรู้จักกับข้อมูลพื้นฐานเกี่ยวกับพันธบัตร โดยเฉพาะพันธบัตร 5 ประเภทหลักที่ควรทำความเข้าใจ ไม่ว่าคุณจะกำลังวางแผนเกษียณ บริหารความเสี่ยง หรือมองหารายได้แบบพาสซีฟ (Passive Income) พันธบัตรก็สามารถเป็นเครื่องมือการลงทุนที่มีคุณค่าได้อย่างแท้จริง
พันธบัตรคือเครื่องมือทางการเงินประเภทหนี้สิน เมื่อคุณซื้อพันธบัตรเท่ากับว่าคุณให้เงินกู้แก่รัฐบาล บริษัท หรือหน่วยงานอื่น ๆ โดยแลกกับการรับดอกเบี้ยเป็นงวด ๆ (เรียกว่า "คูปอง" ) และการได้รับเงินต้นคืนเต็มจำนวน (มูลค่าที่ตราไว้) เมื่อพันธบัตรครบกำหนดอายุ
คุณสมบัติหลักของพันธบัตร :
ผู้ออกพันธบัตร (Issuer): ผู้กู้เงิน เช่น รัฐบาลหรือบริษัท
มูลค่าที่ตราไว้ (Par Value): จำนวนเงินที่คุณจะได้รับคืนเมื่อพันธบัตรครบกำหนด
อัตราคูปอง (Coupon Rate): ดอกเบี้ยรายปีที่คิดเป็นเปอร์เซ็นต์ของมูลค่าที่ตราไว้
วันครบกำหนดชำระหนี้ (Maturity Rate): วันที่ผู้ออกพันธบัตรจะชำระเงินต้นคืน
อัตราผลตอบแทน (Yield): ผลตอบแทนที่แท้จริงที่คุณจะได้รับ โดยขึ้นอยู่กับราคาที่คุณซื้อพันธบัตร
ทำไมถึงควรลงทุนในพันธบัตร?
พันธบัตรได้รับความนิยมอย่างมาก เนื่องจากมีคุณสมบัติที่โดดเด่นดังต่อไปนี้:
รายได้ที่คาดการณ์ได้
การรักษาเงินต้น
การกระจายความเสี่ยง (โดยเฉพาะเมื่อเทียบกับหุ้น)
ความเสี่ยงต่ำ (หากผู้ออกพันธบัตรมีคุณภาพสูง)
พันธบัตรจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจในช่วงตลาดหุ้นผันผวนหรือขาลง และถือเป็นสินทรัพย์สำคัญในพอร์ตการลงทุนเพื่อการเกษียณ
1. พันธบัตรรัฐบาล (Government Bonds)
พันธบัตรรัฐบาลออกโดยรัฐบาลกลาง และมักถูกมองว่าเป็นพันธบัตรที่ปลอดภัยที่สุด
พันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ
ในประเทศสหรัฐฯ พันธบัตรรัฐบาลประกอบด้วย:
ตั๋วเงินคลัง (Treasury Bills: T-Bills): ระยะสั้น อายุ 1 ปีหรือน้อยกว่า ไม่มีดอกเบี้ย (Zero Coupon)
พันธบัตรรัฐบาลระยะกลาง (Treasury Notes: T-Notes): ระยะกลาง 2-10 ปี
พันธบัตรรัฐบาลระยะยาว (Treasury Bonds: T-Bonds): ระยะยาวสูงสุด 30 ปี
Treasury Inflation-Protected Securities (TIPS): พันธบัตรที่ผูกกับอัตราเงินเฟ้อ
ประโยชน์ :
ความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้ต่ำมาก
จ่ายดอกเบี้ยตรงเวลา
ซื้อขายได้ง่ายในตลาดรอง
ความเสี่ยง :
ผลตอบแทนต่ำ
อ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ย
ตัวอย่างประเทศอื่นๆ :
UK Gilts
พันธบัตรรัฐบาลญี่ปุ่น (JGBs)
พันธบัตรรัฐบาลอินเดีย (G-Secs)
2. พันธบัตรเทศบาล (Municipal Bonds หรือ Munis)
ออกโดยรัฐบาลท้องถิ่นหรือรัฐของสหรัฐฯ เพื่อระดมทุนสำหรับโครงการสาธารณะ เช่น โรงเรียน ถนน โรงพยาบาล
ประเภทของพันธบัตรเทศบาล:
General Obligation Bonds (GO): รับประกันด้วยอำนาจในการจัดเก็บภาษี
Revenue Bonds: รับประกันด้วยรายได้จากโครงการเฉพาะเช่นค่าผ่านทาง
ประโยชน์ :
ดอกเบี้ยปลอดภาษี (ทั้งของรัฐบาลกลางและรัฐ)
เหมาะกับนักลงทุนรายได้สูง
ใช้ลงทุนเพื่อสังคม
ความเสี่ยง :
ความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้สูงกว่าพันธบัตรรัฐบาล
สภาพคล่องต่ำกว่า
เหมาะสำหรับ :
นักลงทุนสหรัฐฯ ที่อยู่ในกลุ่มภาษีสูง และต้องการรายได้ที่ปลอดภาษี
3. พันธบัตรบริษัท (Corporate Bonds)
บริษัทเอกชนออกพันธบัตรเพื่อระดมทุน โดยมักให้ผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตรรัฐบาลหรือเทศบาล เพราะมีความเสี่ยงมากกว่า
ประเภทของพันธบัตรบริษัท :
Investment-Grade: บริษัทที่มั่นคงทางการเงิน
High-Yield(Junk Bonds): บริษัทที่มีความเสี่ยงสูงและเครดิตเรตติ้งต่ำ
ประโยชน์ :
ผลตอบแทนสูงข
มีตัวเลือกมากมาย ทั้งในเรื่องอายุและระดับความเสี่ยง
ความเสี่ยง :
ความเสี่ยงในการผิดนัดชำระหนี้
อ่อนไหวต่อภาวะเศรษฐกิจ
สภาพคล่องแตกต่างกันไป
ตัวอย่างผู้ออกพันธบัตร :
Apple
Amazon
Ford (junk-rated)
AT&T
4. พันธบัตรหน่วยงานรัฐบาล (Agency Bonds)
ออกโดยหน่วยงานรัฐหรือองค์กรที่รัฐสนับสนุน (GSEs)
ตัวอย่างที่พบบ่อย:
Fannie Mae (FNMA)
Freddie Mac (FHLMC)
Ginnie Mae (GNMA)
พันธบัตรเหล่านี้มักเกี่ยวข้องกับสินเชื่อบ้านและหลักทรัพย์ค้ำประกันด้วยสินเชื่อที่อยู่อาศัย (MBS)
ประโยชน์ :
ผลตอบแทนสูงกว่าพันธบัตรรัฐบาล
ความเสี่ยงต่ำในหลายกรณี
บางรายการได้รับการค้ำประกันโดยรัฐบาล
ความเสี่ยง:
ไม่ใช่ทุกตัวที่ได้รับการค้ำประกันจากรัฐบาล
โครงสร้างซับซ้อน (เพราะอิงกับสินเชื่อบ้าน)
เหมาะสำหรับ:
นักลงทุนสายอนุรักษ์นิยมที่ต้องการผลตอบแทนสูงขึ้นเล็กน้อยจากพันธบัตรรัฐบาล โดยไม่รับความเสี่ยงมากนัก
5. พันธบัตรต่างประเทศและตลาดเกิดใหม่ (International&Emerging Market Bonds)
ออกโดยรัฐบาลหรือบริษัทในต่างประเทศ ช่วยเพิ่มการกระจายการลงทุนทางภูมิศาสตร์
ประเภท :
พันธบัตรรัฐบาลต่างประเทศ: จากประเทศที่พัฒนาแล้ว เช่น เยอรมนี ญี่ปุ่น สหราชอาณาจักร
พันธบัตรตลาดเกิดใหม่: เช่น บราซิล อินเดีย ตุรกี ฯลฯ
ประโยชน์ :
ผลตอบแทนสูงขึ้น (โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่)
การกระจายความเสี่ยงด้วยสกุลเงินต่างประเทศ
ได้รับโอกาสจากการเติบโตทั่วโลก
ความเสี่ยง :
ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
ความเสี่ยงทางการเมือง
ความเสี่ยงผิดนัดชำระหนี้สูงกว่า โดยเฉพาะในตลาดเกิดใหม่
เหมาะสำหรับ:
นักลงทุนที่มีประสบการณ์และต้องการกระจายความเสี่ยงพร้อมแสวงหาผลตอบแทนที่สูงขึ้นจากต่างประเทศ
พันธบัตรเหมาะสำหรับ :
ผู้เกษียณอายุและนักลงทุนสายอนุรักษ์นิยมที่กำลังมองหารายได้ที่มั่นคง
ผู้ที่ต้องการสร้างพอร์ตการลงทุนที่สมดุล
นักลงทุนที่ต้องการประหยัดภาษี (โดยเฉพาะพันธบัตรเทศบาล)
ผู้ที่ต้องการสินทรัพย์ที่มีความผันผวนน้อยกว่าหุ้น
วิธีการลงทุนในพันธบัตร
คุณสามารถลงทุนในพันธบัตรได้โดยตรง หรือผ่านกองทุนรวมและ ETF ที่รวมตราสารหนี้ไว้
การลงทุนพันธบัตรโดยตรง:
ซื้อพันธบัตรรัฐบาลสหรัฐฯ ผ่านเว็บไซต์ TreasuryDirect
ซื้อพันธบัตรบริษัทหรือพันธบัตรเทศบาลผ่านบัญชีโบรกเกอร์
การลงทุนผ่านกองทุนพันธบัตรและ ETF:
กองทุนรวมพันธบัตร: มีผู้จัดการบริหารพอร์ตของพันธบัตร
Bond ETFs: ซื้อขายได้เหมือนหุ้นมักมีค่าธรรมเนียมต่ำกว่า
ตัวอย่าง Bond ETFs ยอดนิยม:
BND – Vanguard Total Bond Market ETF
AGG – iShares Core U.S.Aggregate Bond ETF
TLT – iShares 20+Year Treasury Bond ETF
HYG – iShares iBoxx High Yield Corporate Bond ETF
เคล็ดลับการลงทุนในพันธบัตร
กระจายการลงทุนในพันธบัตรหลายประเภทหลายช่วงอายุและหลายผู้ออก
ใช้กลยุทธ์ Laddering เพื่อกระจายความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย
พิจารณาระยะเวลา โดยพันธบัตรระยะสั้นจะอ่อนไหวต่อการเปลี่ยนแปลงของอัตราดอกเบี้ยน้อยกว่า
นำดอกเบี้ยที่ได้รับไปลงทุนซ้ำ เพื่อเพิ่มผลตอบแทนรวม
ปรับสัดส่วนระหว่างพันธบัตรและหุ้นให้เหมาะกับระดับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้
ความเสี่ยงที่ควรพิจารณาก่อนลงทุนในพันธบัตร
การลงทุนในพันธบัตรก็มีความเสี่ยงไม่ต่างจากการลงทุนประเภทอื่น ๆ ก่อนลงทุน ควรทำความเข้าใจกับประเด็นต่อไปนี้:
1. ความเสี่ยงจากอัตราดอกเบี้ย
เมื่ออัตราดอกเบี้ยในตลาดปรับตัวสูงขึ้น ราคาของพันธบัตรจะลดลง พันธบัตรระยะยาวจะได้รับผลกระทบมากกว่า
2. ความเสี่ยงด้านเครดิต
ผู้ออกพันธบัตรอาจผิดนัดชำระหนี้ โดยเฉพาะพันธบัตรบริษัทเอกชนหรือตลาดเกิดใหม่ที่มีความเสี่ยงสูง
3. ความเสี่ยงจากเงินเฟ้อ
เงินเฟ้อทำให้มูลค่าที่แท้จริงของดอกเบี้ยที่ได้รับลดลง โดยเฉพาะพันธบัตรที่มีอัตราดอกเบี้ยคงที่
4. ความเสี่ยงด้านสภาพคล่อง
บางพันธบัตรอาจขายออกได้ยากในเวลาที่ต้องการขายทันที และอาจต้องขายในราคาต่ำกว่าปกติ
5. ความเสี่ยงจากอัตราแลกเปลี่ยน
ความเสี่ยงนี้เกิดขึ้นกับพันธบัตรต่างประเทศ เมื่อต้องแปลงค่าสกุลเงินของผู้ออกพันธบัตรกลับเป็นสกุลเงินของผู้ลงทุน ซึ่งอาจผันผวนและกระทบต่อผลตอบแทนโดยรวม
โดยสรุปแล้ว การทำความเข้าใจ 5 ประเภทของพันธบัตรหลัก ได้แก่ พันธบัตรรัฐบาล พันธบัตรเทศบาล พันธบัตรบริษัท พันธบัตรหน่วยงานรัฐ และพันธบัตรต่างประเทศ เป็นสิ่งสำคัญสำหรับการสร้างพอร์ตการลงทุนตราสารหนี้ที่มั่นคง โดยแต่ละประเภทมีบทบาทแตกต่างกัน ทั้งในด้านระดับความเสี่ยง ผลตอบแทน และสิทธิประโยชน์ทางภาษี
ไม่ว่าคุณจะเป็นนักลงทุนมือใหม่หรือมีประสบการณ์ การรวมพันธบัตรไว้ในพอร์ตสามารถช่วยลดความเสี่ยง สร้างรายได้ที่มั่นคง และเสริมสร้างความมั่นคงทางการเงินในระยะยาวได้อย่างมีประสิทธิภาพ
คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ
เรียนรู้วิธีระบุรูปแบบแนวทแยงที่สิ้นสุด ทำความเข้าใจโครงสร้าง และค้นหาสัญญาณการกลับตัวที่สำคัญโดยใช้การวิเคราะห์คลื่นเอลเลียต
2025-06-20ข้อใดไม่ใช่ตัวอย่างของกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงในการซื้อขาย เปิดเผยความเข้าใจผิดทั่วไปที่ทำให้เกิดการสูญเสียในการซื้อขาย
2025-06-20สกุลเงินของอินเดียคืออะไร ค้นพบความแข็งแกร่งในปัจจุบันและเปรียบเทียบกับสกุลเงินหลัก เช่น USD และ EUR
2025-06-20