Risk Reward Ratio คืออะไร? ทำความเข้าใจกฎ 3:1

2025-05-07
สรุป

Risk Reward Ratio คือแนวคิดจัดการความเสี่ยงที่หลายคนยึดหลัก 3:1 แต่ในความจริงแล้ว ไม่มีสูตรตายตัวและควรปรับให้เหมาะกับสถานการณ์

เมื่อนักเทรดเริ่มก้าวเข้าสู่โลกของตลาดการเงิน คำแนะนำแรก ๆ ที่มักได้ยินกันเสมอคือ “ควรตั้ง Risk Reward Ratio ไว้ที่ 3:1” เพราะถือเป็นกฎทองของการเทรดอย่างมีวินัย หลายคนเชื่อว่าหากยึดหลักนี้ไว้ ก็จะสามารถทำกำไรได้อย่างมั่นคงในระยะยาว


แต่ในโลกการเงินที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่น ปัจจุบันกฎ 3:1 นี้ยังใช้ได้ผลจริงหรือไม่? ลองมาดูคำตอบไปพร้อมกัน


Risk Reward Ratio คืออะไร?


 Risk Reward Ratio คืออะไร?

Risk Reward Ratio คือแนวคิดง่าย ๆ ที่ช่วยให้เราประเมินว่า “ความเสี่ยง” ที่เรายอมรับนั้นคุ้มค่ากับ “ผลตอบแทน” ที่เราคาดหวังหรือไม่ โดยเราจะเอาจำนวนเงินที่เราอาจขาดทุน มาเทียบกับกำไรที่คาดว่าจะได้หากการเทรดเป็นไปตามแผน


ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณยอมเสี่ยงขาดทุน 100 บาท เพื่อแลกกับโอกาสทำกำไร 300 บาท แสดงว่า Risk Reward Ratio ของคุณคือ 1:3 ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่หลายคนแนะนำให้ใช้ เพราะช่วยสร้างวินัยและเพิ่มโอกาสทำกำไรในระยะยาว


ทำไมอัตราส่วน 3:1 ถึงได้รับความนิยม?

กฎ 3:1 เป็นที่นิยมเพราะในทฤษฎีมันช่วยให้นักเทรดทำกำไรได้ แม้จะชนะเพียง 25-30% ของการเทรดทั้งหมด กรณีนี้หมายความว่า การชนะแค่ 1 ครั้งก็สามารถชดเชยการขาดทุน 3 ครั้งได้ ทำให้ความกดดันในการชนะบ่อย ๆ ลดลง


นักเทรดมักชอบอัตราส่วนนี้ เนื่องจากเข้าใจง่าย ช่วยสร้างวินัย และทำให้มีความมั่นใจในการเทรดมากขึ้น แต่ในความเป็นจริงตลาดมักจะไม่ได้มีความชัดเจนแบบนี้เสมอไป ดังนั้นการใช้กฎ 3:1 อาจไม่ได้ผลในทุกสถานการณ์


อัตราส่วน 3:1 ใช้ได้ผลเสมอไปจริงหรือไม่?

คำตอบคือ ไม่จำเป็นเสมอไป ถึงแม้ว่าแนวคิดเรื่อง Risk Reward Ratio จะมีประโยชน์และเป็นเครื่องมือที่ดีสำหรับการวางแผนการเทรด แต่เมื่อลงสนามจริง ทุกอย่างอาจซับซ้อนกว่าที่คิด ต่อไปนี้คือเหตุผลหลักที่ควรพิจารณา:

  • ความผันผวนของตลาด: ในตลาดที่มีความผันผวน การตั้งเป้าหมายทำกำไรที่ห่างไกลอาจไม่สมจริง ราคาสามารถกลับตัวก่อนที่คุณจะทำกำไรตามที่ตั้งใจได้

  • ความถี่ในการเทรด: หากยึดติดกับอัตราส่วน 3:1 แบบเคร่งครัด อาจทำให้คุณทำการเทรดได้น้อยลง บางครั้งการตั้งอัตราส่วน 1:1.5 หรือ 1:2 อาจมีโอกาสสำเร็จที่สูงกว่า

  • สภาพตลาดเปลี่ยนแปลง: กลยุทธ์ที่ได้ผลในตลาดที่มีแนวโน้มอาจไม่ทำงานในตลาดที่ไม่เป็นแนวโน้ม แม้ว่าจะใช้ความเสี่ยงและผลตอบแทนในอัตราส่วนเดียวกัน

  • ความมั่นใจที่อาจหลอกตัวเอง: การมองแค่สัดส่วนโดยไม่คำนึงถึงปัจจัยอื่น ๆ อย่างโครงสร้างราคา สภาพคล่อง หรือจังหวะเวลา อาจทำให้คุณพลาดภาพรวมที่สำคัญของตลาด


ควรปรับ Risk Reward Ratio หรือไม่?


ควรปรับ Risk Reward Ratio หรือไม่?

คำตอบคือ ควรปรับ—และควรทำบ่อย ๆ เพราะในโลกของการเทรด ไม่มีสูตรสำเร็จที่ใช้ได้กับทุกสถานการณ์ นักเทรดที่มีประสบการณ์มักไม่ยึดติดกับสัดส่วน 3:1 แบบตายตัว แต่จะประเมินแต่ละดีลตามสภาพตลาดและโอกาสที่มีจริงในขณะนั้น


ก่อนจะกำหนด Risk Reward Ratio ในแต่ละครั้ง ลองถามตัวเองว่า:

  • สัญญาณเข้าเทรดครั้งนี้แข็งแรงพอหรือไม่?

  • มีแนวรับแนวต้านใกล้ ๆ ที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการทำกำไรหรือเปล่า?

  • การเทรดครั้งนี้คือการเทรดตาม Breakout หรือเป็นการสวนแนวโน้มเพื่อเก็บกำไรระยะสั้น?


บางจังหวะ การเลือกใช้อัตราส่วน 2:1 หรือแม้แต่ 1.5:1 อาจเหมาะสมกว่า หากโอกาสในการเทรดนั้นมีความเป็นไปได้สูงที่จะสำเร็จ


เครื่องมือที่ช่วยประเมิน Risk Reward Ratio

คุณสามารถใช้แพลตฟอร์มและเครื่องมือหลากหลายในการวิเคราะห์อัตราส่วนนี้ก่อนเข้าสู่การเทรดได้ เช่น:

  • ซอฟต์แวร์วิเคราะห์กราฟ: ช่วยให้คุณมองเห็นภาพการวางจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) และจุดทำกำไร (Take Profit) ได้ชัดเจน

  • เครื่องคำนวณขนาดการเปิดสถานะ (Position Sizing Calculator): ซึ่งช่วยควบคุมความเสี่ยงที่คุณรับได้ในแต่ละดีล

  • เครื่องมือทดสอบย้อนหลัง (Backtesting Tools): ช่วยให้คุณรู้ว่าอัตราส่วนใดทำงานได้ดีที่สุดกับกลยุทธ์ของคุณ


เพราะสิ่งที่เหมาะกับนักเทรดแบบระยะสั้น (Scalper) อาจไม่เหมาะกับนักเทรดระยะยาว (Swing Trader) ดังนั้น การเลือกใช้เครื่องมือและอัตราส่วนที่เหมาะสมกับสไตล์ของตนเองจึงเป็นเรื่องสำคัญ


ผลกระทบทางจิตวิทยาของ Risk Reward Ratio

อัตราส่วน Risk Reward ไม่ได้เป็นแค่ตัวเลขในแผนการเทรดเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อความรู้สึกและการตัดสินใจของนักเทรดอย่างมาก


อัตราส่วนที่สูง เช่น 3:1 หรือมากกว่า อาจดูน่าสนใจ เพราะแม้จะชนะไม่กี่ครั้งก็ยังทำกำไรได้ แต่ในทางปฏิบัติการรอให้ราคาขยับไปถึงเป้าหมายที่ไกลมักต้องใช้เวลานาน และนั่นอาจสร้างแรงกดดันจนทำให้บางคนเผลอปิดกำไรเร็วเกินไป หรือเลื่อนจุดตัดขาดทุนออกไปโดยไม่จำเป็น


ในทางกลับกัน อัตราส่วนที่ต่ำกว่า เช่น 1:1 หรือ 1:1.5 แม้จะเพิ่มโอกาสชนะให้มากขึ้น แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทายใหม่ เพราะผลตอบแทนต่อครั้งจะน้อยลง นักเทรดจึงต้องอาศัยความแม่นยำและวินัยสูงมากขึ้นในการตัดสินใจ


ไม่มีสูตรตายตัวสำหรับทุกคน

ไม่มีตัวเลขใดที่ถือว่า “ดีที่สุด” สำหรับ Risk Reward Ratio เพราะสิ่งที่สำคัญจริง ๆ คือความสมดุล ไม่ใช่การยึดติดกับสัดส่วนใดสัดส่วนหนึ่งเสมอไป


ถ้าคุณตั้งใจจะใช้ 3:1 ในทุกครั้ง อาจทำให้คุณพลาดโอกาสเทรดดี ๆ ที่มีอัตราส่วน 1.5:1 แต่มีโอกาสชนะสูงกว่า 

สุดท้ายแล้ว อัตราส่วนที่เหมาะสมคือสิ่งที่สอดคล้องกับสไตล์การเทรดของคุณ สภาพตลาดในช่วงเวลานั้น และระดับความเสี่ยงที่คุณรู้สึกสบายใจที่จะรับมือได้


สรุป

กฎ Risk Reward Ratio แบบ 3:1 ไม่ใช่เรื่องหลอกลวง แต่มันก็ไม่ใช่กฎศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องทำตามเสมอไป มันเป็นเพียงแนวทางเริ่มต้นที่ดี ที่ช่วยให้คุณมีหลักคิดเบื้องต้นในการจัดการความเสี่ยงเท่านั้น


สิ่งที่สำคัญกว่าคือ การประเมินบริบทของแต่ละสถานการณ์ให้เหมาะสม รู้จักควบคุมอารมณ์ขณะเทรด และรักษาวินัยในการตัดสินใจอย่างต่อเนื่อง


สุดท้ายแล้ว ความยืดหยุ่นและการปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับสไตล์ของตัวเอง จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จได้มากกว่าการยึดติดกับตัวเลขใดตัวเลขหนึ่งอย่างไม่ลืมหูลืมตา


คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ

เทรดทอง Gold Spot VS Gold Future ต่างกันยังไง? รู้ไว้ก่อนลงทุน!

เทรดทอง Gold Spot VS Gold Future ต่างกันยังไง? รู้ไว้ก่อนลงทุน!

เรียนรู้การเทรดทอง Gold Spot อย่างละเอียด ตั้งแต่ความหมาย วิธีเทรด ข้อแตกต่างกับ Gold Future ปัจจัยกระทบราคา และเทคนิคทำกำไรในตลาดขาขึ้น-ขาลง

2025-06-20
การสิ้นสุดเส้นทแยงมุมเข้ากับกลยุทธ์การซื้อขายของคุณอย่างไร?

การสิ้นสุดเส้นทแยงมุมเข้ากับกลยุทธ์การซื้อขายของคุณอย่างไร?

เรียนรู้วิธีระบุรูปแบบแนวทแยงที่สิ้นสุด ทำความเข้าใจโครงสร้าง และค้นหาสัญญาณการกลับตัวที่สำคัญโดยใช้การวิเคราะห์คลื่นเอลเลียต

2025-06-20
ข้อใดไม่ใช่ตัวอย่างของกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยง?

ข้อใดไม่ใช่ตัวอย่างของกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยง?

ข้อใดไม่ใช่ตัวอย่างของกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงในการซื้อขาย เปิดเผยความเข้าใจผิดทั่วไปที่ทำให้เกิดการสูญเสียในการซื้อขาย

2025-06-20