Risk Reward Ratio คือแนวคิดจัดการความเสี่ยงที่หลายคนยึดหลัก 3:1 แต่ในความจริงแล้ว ไม่มีสูตรตายตัวและควรปรับให้เหมาะกับสถานการณ์
เมื่อนักเทรดเริ่มก้าวเข้าสู่โลกของตลาดการเงิน คำแนะนำแรก ๆ ที่มักได้ยินกันเสมอคือ “ควรตั้ง Risk Reward Ratio ไว้ที่ 3:1” เพราะถือเป็นกฎทองของการเทรดอย่างมีวินัย หลายคนเชื่อว่าหากยึดหลักนี้ไว้ ก็จะสามารถทำกำไรได้อย่างมั่นคงในระยะยาว
แต่ในโลกการเงินที่เปลี่ยนแปลงอย่างรวดเร็ว เช่น ปัจจุบันกฎ 3:1 นี้ยังใช้ได้ผลจริงหรือไม่? ลองมาดูคำตอบไปพร้อมกัน
Risk Reward Ratio คืออะไร?
Risk Reward Ratio คือแนวคิดง่าย ๆ ที่ช่วยให้เราประเมินว่า “ความเสี่ยง” ที่เรายอมรับนั้นคุ้มค่ากับ “ผลตอบแทน” ที่เราคาดหวังหรือไม่ โดยเราจะเอาจำนวนเงินที่เราอาจขาดทุน มาเทียบกับกำไรที่คาดว่าจะได้หากการเทรดเป็นไปตามแผน
ตัวอย่างเช่น ถ้าคุณยอมเสี่ยงขาดทุน 100 บาท เพื่อแลกกับโอกาสทำกำไร 300 บาท แสดงว่า Risk Reward Ratio ของคุณคือ 1:3 ซึ่งถือเป็นสัดส่วนที่หลายคนแนะนำให้ใช้ เพราะช่วยสร้างวินัยและเพิ่มโอกาสทำกำไรในระยะยาว
ทำไมอัตราส่วน 3:1 ถึงได้รับความนิยม?
กฎ 3:1 เป็นที่นิยมเพราะในทฤษฎีมันช่วยให้นักเทรดทำกำไรได้ แม้จะชนะเพียง 25-30% ของการเทรดทั้งหมด กรณีนี้หมายความว่า การชนะแค่ 1 ครั้งก็สามารถชดเชยการขาดทุน 3 ครั้งได้ ทำให้ความกดดันในการชนะบ่อย ๆ ลดลง
นักเทรดมักชอบอัตราส่วนนี้ เนื่องจากเข้าใจง่าย ช่วยสร้างวินัย และทำให้มีความมั่นใจในการเทรดมากขึ้น แต่ในความเป็นจริงตลาดมักจะไม่ได้มีความชัดเจนแบบนี้เสมอไป ดังนั้นการใช้กฎ 3:1 อาจไม่ได้ผลในทุกสถานการณ์
อัตราส่วน 3:1 ใช้ได้ผลเสมอไปจริงหรือไม่?
คำตอบคือ ไม่จำเป็นเสมอไป ถึงแม้ว่าแนวคิดเรื่อง Risk Reward Ratio จะมีประโยชน์และเป็นเครื่องมือที่ดีสำหรับการวางแผนการเทรด แต่เมื่อลงสนามจริง ทุกอย่างอาจซับซ้อนกว่าที่คิด ต่อไปนี้คือเหตุผลหลักที่ควรพิจารณา:
ความผันผวนของตลาด: ในตลาดที่มีความผันผวน การตั้งเป้าหมายทำกำไรที่ห่างไกลอาจไม่สมจริง ราคาสามารถกลับตัวก่อนที่คุณจะทำกำไรตามที่ตั้งใจได้
ความถี่ในการเทรด: หากยึดติดกับอัตราส่วน 3:1 แบบเคร่งครัด อาจทำให้คุณทำการเทรดได้น้อยลง บางครั้งการตั้งอัตราส่วน 1:1.5 หรือ 1:2 อาจมีโอกาสสำเร็จที่สูงกว่า
สภาพตลาดเปลี่ยนแปลง: กลยุทธ์ที่ได้ผลในตลาดที่มีแนวโน้มอาจไม่ทำงานในตลาดที่ไม่เป็นแนวโน้ม แม้ว่าจะใช้ความเสี่ยงและผลตอบแทนในอัตราส่วนเดียวกัน
ความมั่นใจที่อาจหลอกตัวเอง: การมองแค่สัดส่วนโดยไม่คำนึงถึงปัจจัยอื่น ๆ อย่างโครงสร้างราคา สภาพคล่อง หรือจังหวะเวลา อาจทำให้คุณพลาดภาพรวมที่สำคัญของตลาด
ควรปรับ Risk Reward Ratio หรือไม่?
คำตอบคือ ควรปรับ—และควรทำบ่อย ๆ เพราะในโลกของการเทรด ไม่มีสูตรสำเร็จที่ใช้ได้กับทุกสถานการณ์ นักเทรดที่มีประสบการณ์มักไม่ยึดติดกับสัดส่วน 3:1 แบบตายตัว แต่จะประเมินแต่ละดีลตามสภาพตลาดและโอกาสที่มีจริงในขณะนั้น
ก่อนจะกำหนด Risk Reward Ratio ในแต่ละครั้ง ลองถามตัวเองว่า:
สัญญาณเข้าเทรดครั้งนี้แข็งแรงพอหรือไม่?
มีแนวรับแนวต้านใกล้ ๆ ที่อาจเป็นอุปสรรคต่อการทำกำไรหรือเปล่า?
การเทรดครั้งนี้คือการเทรดตาม Breakout หรือเป็นการสวนแนวโน้มเพื่อเก็บกำไรระยะสั้น?
บางจังหวะ การเลือกใช้อัตราส่วน 2:1 หรือแม้แต่ 1.5:1 อาจเหมาะสมกว่า หากโอกาสในการเทรดนั้นมีความเป็นไปได้สูงที่จะสำเร็จ
เครื่องมือที่ช่วยประเมิน Risk Reward Ratio
คุณสามารถใช้แพลตฟอร์มและเครื่องมือหลากหลายในการวิเคราะห์อัตราส่วนนี้ก่อนเข้าสู่การเทรดได้ เช่น:
ซอฟต์แวร์วิเคราะห์กราฟ: ช่วยให้คุณมองเห็นภาพการวางจุดตัดขาดทุน (Stop Loss) และจุดทำกำไร (Take Profit) ได้ชัดเจน
เครื่องคำนวณขนาดการเปิดสถานะ (Position Sizing Calculator): ซึ่งช่วยควบคุมความเสี่ยงที่คุณรับได้ในแต่ละดีล
เครื่องมือทดสอบย้อนหลัง (Backtesting Tools): ช่วยให้คุณรู้ว่าอัตราส่วนใดทำงานได้ดีที่สุดกับกลยุทธ์ของคุณ
เพราะสิ่งที่เหมาะกับนักเทรดแบบระยะสั้น (Scalper) อาจไม่เหมาะกับนักเทรดระยะยาว (Swing Trader) ดังนั้น การเลือกใช้เครื่องมือและอัตราส่วนที่เหมาะสมกับสไตล์ของตนเองจึงเป็นเรื่องสำคัญ
ผลกระทบทางจิตวิทยาของ Risk Reward Ratio
อัตราส่วน Risk Reward ไม่ได้เป็นแค่ตัวเลขในแผนการเทรดเท่านั้น แต่ยังส่งผลต่อความรู้สึกและการตัดสินใจของนักเทรดอย่างมาก
อัตราส่วนที่สูง เช่น 3:1 หรือมากกว่า อาจดูน่าสนใจ เพราะแม้จะชนะไม่กี่ครั้งก็ยังทำกำไรได้ แต่ในทางปฏิบัติการรอให้ราคาขยับไปถึงเป้าหมายที่ไกลมักต้องใช้เวลานาน และนั่นอาจสร้างแรงกดดันจนทำให้บางคนเผลอปิดกำไรเร็วเกินไป หรือเลื่อนจุดตัดขาดทุนออกไปโดยไม่จำเป็น
ในทางกลับกัน อัตราส่วนที่ต่ำกว่า เช่น 1:1 หรือ 1:1.5 แม้จะเพิ่มโอกาสชนะให้มากขึ้น แต่ก็มาพร้อมกับความท้าทายใหม่ เพราะผลตอบแทนต่อครั้งจะน้อยลง นักเทรดจึงต้องอาศัยความแม่นยำและวินัยสูงมากขึ้นในการตัดสินใจ
ไม่มีสูตรตายตัวสำหรับทุกคน
ไม่มีตัวเลขใดที่ถือว่า “ดีที่สุด” สำหรับ Risk Reward Ratio เพราะสิ่งที่สำคัญจริง ๆ คือความสมดุล ไม่ใช่การยึดติดกับสัดส่วนใดสัดส่วนหนึ่งเสมอไป
ถ้าคุณตั้งใจจะใช้ 3:1 ในทุกครั้ง อาจทำให้คุณพลาดโอกาสเทรดดี ๆ ที่มีอัตราส่วน 1.5:1 แต่มีโอกาสชนะสูงกว่า
สุดท้ายแล้ว อัตราส่วนที่เหมาะสมคือสิ่งที่สอดคล้องกับสไตล์การเทรดของคุณ สภาพตลาดในช่วงเวลานั้น และระดับความเสี่ยงที่คุณรู้สึกสบายใจที่จะรับมือได้
สรุป
กฎ Risk Reward Ratio แบบ 3:1 ไม่ใช่เรื่องหลอกลวง แต่มันก็ไม่ใช่กฎศักดิ์สิทธิ์ที่ต้องทำตามเสมอไป มันเป็นเพียงแนวทางเริ่มต้นที่ดี ที่ช่วยให้คุณมีหลักคิดเบื้องต้นในการจัดการความเสี่ยงเท่านั้น
สิ่งที่สำคัญกว่าคือ การประเมินบริบทของแต่ละสถานการณ์ให้เหมาะสม รู้จักควบคุมอารมณ์ขณะเทรด และรักษาวินัยในการตัดสินใจอย่างต่อเนื่อง
สุดท้ายแล้ว ความยืดหยุ่นและการปรับกลยุทธ์ให้เข้ากับสไตล์ของตัวเอง จะช่วยให้คุณประสบความสำเร็จได้มากกว่าการยึดติดกับตัวเลขใดตัวเลขหนึ่งอย่างไม่ลืมหูลืมตา
คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่มีวัตถุประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ
เรียนรู้การเทรดทอง Gold Spot อย่างละเอียด ตั้งแต่ความหมาย วิธีเทรด ข้อแตกต่างกับ Gold Future ปัจจัยกระทบราคา และเทคนิคทำกำไรในตลาดขาขึ้น-ขาลง
2025-06-20เรียนรู้วิธีระบุรูปแบบแนวทแยงที่สิ้นสุด ทำความเข้าใจโครงสร้าง และค้นหาสัญญาณการกลับตัวที่สำคัญโดยใช้การวิเคราะห์คลื่นเอลเลียต
2025-06-20ข้อใดไม่ใช่ตัวอย่างของกลยุทธ์การจัดการความเสี่ยงในการซื้อขาย เปิดเผยความเข้าใจผิดทั่วไปที่ทำให้เกิดการสูญเสียในการซื้อขาย
2025-06-20