简体中文 繁體中文 English 한국어 日本語 Español Bahasa Indonesia Tiếng Việt Português Монгол العربية हिन्दी Русский ئۇيغۇر تىلى

คู่มือเริ่มต้นเทรดดัชนีสังเคราะห์

เผยแพร่เมื่อ: 2025-03-19    อัปเดตเมื่อ: 2025-04-11

หากคุณเพิ่งเริ่มต้นในการเทรดออนไลน์คำว่า "ดัชนีสังเคราะห์" อาจทำให้รู้สึกสับสน เพราะมันไม่ใช่หุ้นและไม่ใช่ฟอเร็กซ์โดยตรง แต่แล้วมันคืออะไร? หากคุณเคยสงสัยเกี่ยวกับคำนี้ ไม่ต้องกังวล คุณไม่ได้เป็นคนเดียว บทความนี้จะช่วยอธิบายให้คุณเข้าใจได้อย่างง่ายดายโดยไม่ต้องปวดหัว

เทรดดัชนีสังเคราะห์-EBCความแตกต่างระหว่างดัชนีสังเคราะห์ ฟอเร็กซ์ และหุ้น

มาเริ่มกันที่พื้นฐานก่อน ตลาดฟอเร็กซ์และตลาดหุ้นขับเคลื่อนด้วยปัจจัยในโลกจริง เช่น ข่าวเศรษฐกิจ ผลประกอบการบริษัท การเปลี่ยนแปลงทางการเมือง และอัตราดอกเบี้ย หากมีข่าวสำคัญ เช่น ประเทศหนึ่งปรับขึ้นดอกเบี้ย หรือบริษัทประกาศกำไรสูง ราคาก็จะเปลี่ยนแปลงตามไปด้วย ซึ่งหมายความว่าเทรดเดอร์ต้องติดตามข่าวสารอยู่เสมอ และอาจต้องรับมือกับความผันผวนที่ไม่สามารถคาดการณ์ได้


ในทางกลับกัน ดัชนีสังเคราะห์เป็นสิ่งที่มนุษย์สร้างขึ้นทั้งหมด โดยถูกออกแบบด้วยอัลกอริทึมที่จำลองการเคลื่อนไหวของราคา ทำหน้าที่คล้ายกับตลาดจำลองที่เลียนแบบพฤติกรรมราคาจริง แต่ไม่ได้รับอิทธิพลจากข่าวหรือปัจจัยภายนอก การเคลื่อนไหวของราคาเป็นไปตามแบบแบบจำลองทางคณิตศาสตร์ที่กำหนดไว้ ไม่ใช่จากข่าวหรือกระแสตลาด


หนึ่งในความแตกต่างที่สำคัญคือ "ความผันผวน" ในขณะที่ฟอเร็กซ์และหุ้นมีความผันผวนตามข่าวสารที่คาดเดาไม่ได้ ดัชนีสังเคราะห์มีรูปแบบความผันผวนที่แน่นอนมากกว่า เพราะถูกออกแบบมาให้เคลื่อนไหวตามรูปแบบที่คงที่ เทรดเดอร์จึงสามารถคาดการณ์ได้ง่ายขึ้น นอกจากนี้ ดัชนีประเภทนี้ยังสามารถเทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมงทุกวัน ทำให้ความยืดหยุ่นมากกว่าตลาดทั่วไปที่มักปิดทำการในช่วงกลางคืนหรือวันหยุดสุดสัปดาห์


ข้อดีของการเทรดดัชนีสังเคราะห์

คุณอาจสงสัยว่าทำไมต้องเทรดดัชนีสังเคราะห์ ในเมื่อมีตลาดที่เป็นที่รู้จักอย่างฟอเร็กซ์หรือหุ้นให้เลือกอยู่แล้ว คำตอบคือ ดัชนีนี้มีข้อดีเฉพาะตัวที่ดึงดูดทั้งเทรดเดอร์มือใหม่และมืออาชีพ


1. เทรดได้ตลอด 24 ชั่วโมงไม่มีวันหยุด

ตลาดของดัชนีสังเคราะห์ไม่มีเวลาปิด-เปิด ทำให้สามารถเทรดได้ตลอดเวลา แม้แต่ในวันหยุด เหมาะสำหรับผู้ที่มีตารางงานที่แน่น หรือชอบเทรดนอกเวลาทำการของตลาดทั่วไป


2. ไม่ได้รับผลกระทบจากข่าวสารและเหตุการณ์ภายนอก

ไม่ต้องกังวลกับข่าวด่วนหรือเหตุการณ์ไม่คาดคิด เพราะดัชนีสังเคราะห์ไม่ได้รับอิทธิพลจากปัจจัยภายนอก ทำให้สภาพแวดล้อมการเทรดมีความคงที่มากขึ้น ช่วยลดความเครียดให้กับเทรดเดอร์ โดยเฉพาะมือใหม่


3. เลือกความผันผวนได้ตามสไตล์การเทรด

ดัชนีสังเคราะห์มีระดับความผันผวนที่แตกต่างกัน เทรดเดอร์สามารถเลือกเทรดในตลาดที่เคลื่อนไหวเร็วและมีความเสี่ยงสูง หรือเลือกตลาดที่เคลื่อนไหวช้าและเสี่ยงต่ำได้ตามความถนัด


4. เริ่มต้นลงทุนด้วยเงินจำนวนน้อย

โบรกเกอร์มักกำหนดขนาดสัญญาที่เล็กกว่าสำหรับดัชนีสังเคราะห์ ทำให้สามารถเริ่มต้นเทรดได้ด้วยเงินลงทุนที่ต่ำ เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการทดลองหรือเรียนรู้ก่อนการลงทุนในระดับที่สูงขึ้น


ประเภทของดัชนีสังเคราะห์ที่ได้รับความนิยม

หลังจากที่เราได้ทำความเข้าใจว่าทำไมหลายคนเลือกเทรดดัชนีสังเคราะห์แล้ว มาดูกันว่ามีประเภทใดบ้างที่ได้รับความนิยมในหมู่เทรดเดอร์


1. ดัชนีความผันผวน (Volatility Indices): ดัชนีสังเคราะห์ประเภทนี้เป็นที่รู้จักมากที่สุด โดยแบ่งออกเป็นหลายระดับ เช่น Volatility 10, 25, 50, 75 และ 100 ยิ่งตัวเลขสูงความผันผวนก็ยิ่งมากขึ้น เช่น Volatility 10 จะเคลื่อนไหวช้าและค่อนข้างเสถียร ในขณะที่ Volatility 100 มีการแกว่งตัวที่รุนแรงและสามารถเปลี่ยนแปลงได้อย่างรวดเร็วในระยะเวลาอันสั้น


2. ดัชนี Crash และ Boom (Crash and Boom Indices): ดัชนีประเภทนี้ได้รับการออกแบบมาให้มีการเคลื่อนไหวที่เฉียบพลัน เช่น Boom 500 จะมีการพุ่งขึ้นอย่างรวดเร็วเป็นช่วง ๆ ในขณะที่ Crash 500 จะมีการดิ่งลงอย่างรวดเร็ว การเคลื่อนไหวเหล่านี้เกิดขึ้นแบบสุ่ม แต่ยังคงมีรูปแบบที่สามารถสังเกตได้ในระยะยาว เทรดเดอร์จำนวนมากชื่นชอบดัชนีประเภทนี้ เพราะมีโอกาสทำกำไรได้เร็วแม้ว่าความเสี่ยงจะสูงก็ตาม


3. ดัชนี Step (Step Indices): ดัชนีประเภทนี้เคลื่อนไหวเป็นขั้น ๆ อย่างสม่ำเสมอ ทำให้มีสามารถคาดเดาได้ง่ายกว่าดัชนีประเภทอื่น ๆ และเหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความมั่นคงและลดความผันผวนที่ไม่แน่นอน


การเลือกดัชนีที่จะเทรดขึ้นอยู่กับสไตล์การเทรดและระดับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้ หากคุณต้องการการเคลื่อนไหวที่มั่นคง ดัชนี Step อาจเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด แต่หากคุณชื่นชอบความตื่นเต้นและโอกาสทำกำไรที่รวดเร็ว ดัชนี Crash และ Boom อาจเหมาะกับคุณมากกว่า


Scalping Trading vs. Swing Trading: สไตล์ไหนเหมาะกับคุณ?

เมื่อพูดถึงสไตล์การเทรด มาดูแนวทางยอดนิยมสองแบบในการเทรดดัชนีสังเคราะห์ นั่นคือ Scalping Trading และ Swing Trading


Scalping Trading คือการเทรดระยะสั้นที่เน้นทำกำไรจากการเคลื่อนไหวของราคาขนาดเล็ก โดยเทรดเดอร์จะทำการซื้อขายบ่อยครั้งในช่วงเวลาสั้น ๆ เช่น บนกราฟ 1 นาที หรือ 5 นาที กลยุทธ์นี้เหมาะกับดัชนีที่มีความผันผวนสูง เช่น Volatility 75 เพราะมีการเคลื่อนไหวของราคาที่รวดเร็ว การเทรดแบบนี้ต้องอาศัยความไวในการตัดสินใจ การจับจังหวะที่แม่นยำ และการใช้เครื่องมือวิเคราะห์ทางเทคนิคเพื่อเข้าทำกำไรอย่างต่อเนื่อง


Swing Trading เป็นแนวทางที่ใช้ระยะเวลาถือครองนานขึ้น ตั้งแต่ไม่กี่ชั่วโมงไปจนถึงหลายวัน โดยมุ่งหวังกำไรจากแนวโน้มของราคาที่ใหญ่ขึ้น กลยุทธ์นี้เหมาะกับดัชนีที่เคลื่อนไหวช้ากว่าและมีรูปแบบที่ชัดเจน เช่น Volatility 10 หรือ ดัชนี Step ข้อดีของการเทรดแบบนี้คือไม่ต้องเฝ้าหน้าจอตลอดเวลา และมีความเครียดน้อยกว่าการเทรดแบบ Scalping แต่ต้องอาศัยความอดทนและแผนการเทรดที่รอบคอบ


ไม่มีวิธีที่ "ถูก" หรือ "ผิด" ในการเลือกสไตล์การเทรด ทุกอย่างขึ้นอยู่กับบุคลิก เวลา และระดับความเสี่ยงที่คุณยอมรับได้ จุดเด่นของดัชนีสังเคราะห์คือเปิดโอกาสให้คุณได้ลองทั้งสองแนวทาง เพื่อค้นหาสไตล์ที่เหมาะกับตัวเอง


การบริหารความเสี่ยงในการเทรดดัชนีสังเคราะห์

ไม่ว่าคุณจะเลือกเทรดดัชนีประเภทใดหรือใช้สไตล์การเทรดแบบไหน การบริหารความเสี่ยงเป็นสิ่งสำคัญที่ไม่ควรมองข้าม ดัชนีสังเคราะห์สามารถเคลื่อนไหวได้อย่างรวดเร็ว และหากไม่ระมัดระวัง อาจทำให้สูญเสียเงินทุนได้ง่าย


1. ใช้ Stop-Loss เสมอ

Stop-Loss เป็นเครื่องมือสำคัญที่ช่วยปิดออร์เดอร์โดยอัตโนมัติเมื่อราคาลดลงถึงจุดที่กำหนด ซึ่งช่วยป้องกันไม่ให้ขาดทุนเกินขอบเขตที่คุณยอมรับได้ หลายครั้งที่เทรดเดอร์มีแนวโน้มคิดว่า “เดี๋ยวราคาจะกลับมา” แล้วปล่อยให้การขาดทุนขยายตัว ดังนั้น การตั้ง Stop-Loss ล่วงหน้าจึงเป็นการป้องกันความเสี่ยงที่มีประสิทธิภาพ


2. จัดการเลเวอเรจอย่างรอบคอบ

โบรกเกอร์ส่วนใหญ่เสนอเลเวอเรจสูงสำหรับดัชนีสังเคราะห์ ซึ่งสามารถเพิ่มทั้งกำไรและขาดทุนได้ หากยังไม่มีประสบการณ์ ควรเริ่มต้นด้วยการใช้เลเวอเรจในระดับต่ำและหลีกเลี่ยงการใช้เลเวอเรจสูงสุดจนกว่าจะมีความมั่นใจในกลยุทธ์การเทรดของตนเอง


3. ควบคุมอารมณ์ในการเทรด

อารมณ์เป็นศัตรูสำคัญของเทรดเดอร์ ความโลภที่เกิดขึ้นหลังจากทำกำไร หรือความรีบร้อนแก้มือหลังจากขาดทุนมักจะนำไปสู่การตัดสินใจที่ผิดพลาด ดังนั้น การยึดตามแผนการเทรดอย่างมีวินัย และหลีกเลี่ยงการปล่อยให้อารมณ์เข้ามาครอบงำจึงเป็นสิ่งจำเป็น


4. ฝึกฝนก่อนลงสนามจริง

โบรกเกอร์ส่วนใหญ่มีบัญชีทดลอง (Demo Account) ให้ใช้งาน ซึ่งเป็นโอกาสดีในการฝึกฝนกลยุทธ์ ศึกษาพฤติกรรมของดัชนีแต่ละประเภท และสร้างความมั่นใจก่อนใช้เงินจริง


การบริหารความเสี่ยงที่ดีจะช่วยให้คุณอยู่รอดในตลาดและสร้างผลกำไรได้อย่างยั่งยืน อย่าลืมว่าในการเทรดการปกป้องเงินทุนก็สำคัญไม่แพ้การทำกำไร


คำเตือน: เอกสารนี้จัดทำขึ้นเพื่อวัตถุประสงค์ในการให้ข้อมูลทั่วไปเท่านั้น และไม่ได้มีจุดประสงค์เพื่อเป็นคำแนะนำทางการเงิน การลงทุน หรือคำแนะนำอื่นใดที่ควรอ้างอิง (และไม่ควรพิจารณาว่าเป็นคำแนะนำ) ความคิดเห็นใดๆ ในเอกสารนี้ไม่ถือเป็นคำแนะนำของ EBC หรือผู้เขียนว่ากลยุทธ์การลงทุน หลักทรัพย์ ธุรกรรม หรือการลงทุนใดๆ เหมาะสมกับบุคคลใดบุคคลหนึ่งโดยเฉพาะ

บทความแนะนำ
ความหมายและกลยุทธ์พื้นฐานของ Forex
เทรดน้ำมันดิบคืออะไร และสร้างกำไรได้อย่างไร
OBV ย่อมาจากอะไร? เจาะลึกสัญญาณเทรดด้วย OBV
Order Book คืออะไร? รู้จักประเภทและวิธีใช้งาน
CFD vs ETF วิเคราะห์กลยุทธ์และความเสี่ยง 2025